เชียงราย - แจ้งความมาร่วมครึ่งปีไม่มีคืบ..หนุ่มใหญ่ร้องผู้การตำรวจเชียงราย เปลี่ยนพนักงานสอบสวน-เร่งรัดคดี ล่ามือมืดแฮกบัญชีเทขายบิตคอยน์เสียหายยับ คาดคนเทรดเงินดิจิทัลโดนเหมือนกันเพียบ
วันนี้ (10 พ.ย. 65) นายภาวัต ภูอิน อายุ 67 ปี ชาว ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย ได้เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวะสมิตระกูล ผบก.จว.เชียงราย ขอให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนพนักงานสอบสวน-เร่งรัดคดี กรณีเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย ว่าตนได้เปิดและใช้บัญชีออนไลน์อยู่กับบริษัทบิทคับ ออนไลน์ จำกัด เมื่อเดือนพฤษภาคม 65 ที่ผ่านมา เพื่อลงทุนตามปกติ
แต่เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2565 เวลาประมาณ 22.00 น.ได้มีผู้ใช้อีเมลชื่อ phunpawat ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริงเข้าไปใช้บัญชีของตน จากนั้นได้เทขายเหรียญบิตคอยน์ของตนออกไปจากถังเงินจำนวน 2.87 เหรียญ คิดเป็นเงินจริงมูลค่า 243,950 บาท โดยที่ตนไมได้ยินยอมทำให้ได้รับความเสียหาย และเมื่อตรวจสอบก็พบที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตหรือไอพีแอดเดรสของอีเมลดังกล่าวด้วย
ด้านพนักงานสอบสวน สภ.บ้านดู่ ซึ่งรับเรื่องได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วได้ส่งหนังสือถึงบริษัทบิทคับ ออนไลน์ จำกัด และบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด สาขาเชียงราย ซึ่งให้บริการด้านอินเทอร์เน็ต เพื่อเรียกขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาพร้อมหมายเรียกพยานเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านมาหลายเดือนคดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า
นายภาวัต ผู้ร้องฯ บอกว่า เคยร้องขอให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดคดีและยื่นหนังสือต่อ พ.ต.อ.พีรพัทร บุญพุทธ ผกก.สภ.บ้านดู่ ขอเปลี่ยนพนักงานสอบสวนมาแล้ว แต่ไม่เป็นผล จึงเข้ายื่นหนังสือต่อ ผบก.ภ.เชียงราย ให้เปลี่ยนพนักงานสอบสวนที่มีความรู้ความสามารถด้านข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และให้ดำเนินคดีพร้อมออกหมายเรียกต่อบุคคลอย่างน้อย 6 คนที่เกี่ยวข้องกับบริษัท และคนที่เข้ามาใช้อีเมลเทขายเหรียญบิตคอยน์ของตนอีก 1 คน ในข้อหา "ร่วมกันลักทรัพย์เหรียญดิจิทัลฯ ไปจากกระเป๋าเงินดิจิทัลของตน" ภายใน 7 วันนับตั้งแต่แต่งตั้งพนักงานสอบสวนใหม่
เบื้องต้น ภ.จว.เชียงรายได้มอบหมายให้สารวัตรงานคดีเข้ารับเรื่องไว้เพื่อนำเสนอต่อผู้บังคับบัญชาพิจารณา ทำให้นายภาวัตกลับไปรอฟังความคืบหน้า
นายภาวัตกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนมีสินทรัพย์อยู่ในบัญชีจำนวนมากและถือเป็นลูกค้าชั้นดี เสียค่าธรรมเนียม 2.5% ในการซื้อและขายสินทรัพย์มาตลอด แต่เมื่อประสบปัญหานี้บริษัทกลับไม่รับผิดชอบ และยังปล่อยให้คนเข้าไปในบัญชีของตนจนเกิดความเสียหายขึ้น
“กรณีของผมยังถือว่าเสียหายน้อย เพราะรู้ทันตั้งแต่ที่คนใช้อีเมลดังกล่าวค่อยๆ ทยอยถอนเหรียญของผมออกมาขายทีละน้อยๆ จนได้จำนวน 2.87 เหรียญ ผมเห็นท่าไม่ดีจึงได้ระงับบัญชีเอาไว้ก่อนไม่เช่นนั้นคงสูญสินทรัพย์ไปจนหมดบัญชีแล้วก็ได้”
ดังนั้น จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีให้เฉียบขาดเพราะอาจไม่ได้มีแค่ตนคนเดียว เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าที่นำสินทรัพย์เข้าไปอยู่ในบัญชีเหมือนตนเป็นจำนวนมาก หลายคนอาจเสี่ยงถูกมิจฉาชีพเข้าไปถอนมาเทขายโดยเฉพาะคนสูงอายุหรือคนที่ไม่ทันสังเกต เพราะกรณีตนมีการทยอยถอนออกช่วงกลางดึก และที่สำคัญตนทราบว่าในอนาคตบริษัทเดียวกันนี้อาจจะเปิดเป็นธนาคารให้คนนำสินทรัพย์ไปฝากด้วย ซึ่งตนก็สงสัยว่าหากปล่อยให้เกิดกรณีอย่างตนแล้วจะมีใครไปไว้ใจอีก
