ฉะเชิงเทรา - เจ้าของอาคารพาณิชย์ 4 คูหาริมถนนสาย 304 ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี สุดเซ็ง บริษัทต่างชาติตอกเสาเข็มขึ้นโกดังเก็บสินค้าทำอาคารร้าวหนักจนต้องประกาศขายทิ้ง เผยร้อง อบต.-ศูนย์ดำรงธรรม จ.ฉะเชิงเทรา แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า ทำเสียโอกาสทางธุรกิจเกือบ 10 ล้านบาท
จากกรณีที่มีชาวบ้านซึ่งพักอาศัยในอาคารพาณิชย์ขนาด 3 ชั้น รวม 18 คูหา ตั้งอยู่ริมถนนสาย 304 ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี ได้เคยร้องเรียนต่อสื่อมวลชน รวมทั้ง อบต.คลองนา และศูนย์ดำรงธรรม จ.ฉะเชิงเทรา ตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังได้รับความเดือดร้อนจากบริษัทต่างชาติที่ทำการตอกเสาเข็มขนาดความยาว 12 เมตร ลึก 2 ชั้นของช่วงเสาเข็ม รวม 24 เมตร จำนวน 387 ต้น
และยังระดมตอกด้วยปั้นจั่นคู่กันถึง 2 ตัว จนทำให้อาคารที่ตั้งอยู่ด้านหน้าริมถนนได้รับความเสียหายจากการแตกร้าวเกือบทุกคูหา และจนถึงปัจจุบันปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง แม้ก่อนหน้านี้ผู้รับเหมาและผู้ควบคุมงานก่อสร้างจะเคยเข้ามาไกล่เกลี่ยร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ แต่ยังไม่มีการดำเนินงานตามข้อตกลงที่ได้เคยรับปากไว้นั้น
วันนี้ (25 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านบางรายที่เริ่มทนกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ไหว ได้ขึ้นป้ายประกาศขายอาคารแล้ว เช่นเดียวกับ นางพัทธ์ยมล สื่อสวัสดิ์วณิชย์ อายุ 54 ปี เจ้าของอาคารพาณิชย์เลขที่ 90/1-4 บอกว่าตนเองลงทุนซื้ออาคารพาณิชย์แห่งนี้มาตั้งแต่เริ่มมีการก่อสร้างและเปิดให้จองเมื่อประมาณ 8 ปีก่อน และตัวอาคารเพิ่งสร้างเสร็จและเปิดใช้งานมาได้เพียง 6 ปี
กระทั่งประมาณเดือน มิ.ย.65 ได้มีบริษัทต่างชาติเข้ามาทำการตอกเสาเข็มเพื่อวางรากฐานเตรียมก่อสร้างโกดังเก็บสินค้าจำพวกเม็ดพลาสติก ขนาด 3 ชั้น ในพื้นที่ 1 ไร่ ซึ่งอยู่ด้านหลังอาคารของตนเองจนทำให้ตัวอาคารแตกร้าวทั้ง 18 คูหา โดยเฉพาะอาคารของตนเอง
และจนถึงวันนี้ผู้รับเหมาและผู้ควบคุมงานที่เคยรับปากว่าหลังทำการตอกเสาเข็มแล้วเสร็จจะเข้ามารับผิดชอบซ่อมแซมอาคารที่แตกร้าวให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบก็ยังไม่เข้ามาทำการซ่อมแซมให้แต่อย่างใดและยังมีท่าทีบ่ายเบี่ยงที่จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
อีกทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นยังทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมีการตอกเสาเข็ม ได้มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งเข้ามาติดต่อขอเช่าอาคารทั้ง 4 คูหาของตนในราคาค่าเช่า จำนวน 9.6 แสนบาทต่อปี เนื่องจากตั้งอยู่ติดถนนใหญ่และเตรียมที่จะทำสัญญาเช่ายาวถึง 10 ปี และต้องเสียโอกาสทางธุรกิจเกือบ 10 ล้านบาท