เชียงใหม่ - “ปลัดจอมแฉ” ชำแหละกรณีสวมตัวทำบัตรประชาชนที่อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ มั่นใจทำกันเป็นขบวนการเชื่อมโยงเครือข่ายใหญ่ที่เคยก่อเหตุพื้นที่ชายแดน แถมน่าจะมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมรู้เห็นด้วย เรียกเก็บค่าหัวสูงถึงหลักล้านบาทต่อราย ชี้ชัดเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติอย่างร้ายแรง เตรียมเข้าพบผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ติดตามความคืบหน้าคดีหลังปลัดอำเภอเข้าแจ้งความไว้แล้ว พร้อมวอนเร่งสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดและเกี่ยวข้องทุกรายมาดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด รวมทั้งแกะรอยเส้นทางการเงินทลายเครือข่ายใหญ่ให้สิ้นซาก
ความคืบหน้ากรณีตรวจสอบพบการสวมตัวทำบัตรประจำตัวประชาชนกว่า 50 ราย ที่อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ที่เป็นลูกจ้าง สย.ช่วยงานด้านทะเบียนของอำเภอได้ลักลอบดำเนินการด้วยการใช้รหัสการเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลในการทำบัตรประชาชนของปลัดอำเภอที่เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย พร้อมทั้งปลอมลายมือชื่อของปลัดอำเภอในการทำบัตรประชาชนให้ผู้ที่สวมตัวทำบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งต่อมาทางอำเภอตรวจสอบพบความผิดปกติและสอบสวนลูกจ้างคนดังกล่าว จนให้การรับสารภาพและมีการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ขณะเดียวกันทำการยกเลิกบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวทั้งหมด
วันนี้ (20 ต.ค. 65) นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้รับแจ้งข้อมูลเบาะแสเพิ่มเติมที่เชื่อถือได้ว่าการก่อเหตุนี้มีการร่วมมือกันทำเป็นขบวนการและเป็นเครือข่ายใหญ่ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่เคยก่อเหตุในพื้นที่ชายแดนทั้งจังหวัดเชียงใหม่,จังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงราย โดยในการสวมตัวทำบัตรประจำตัวประชาชนให้ดังกล่าวนั้น ตามข้อมูลพบว่ามีการเรียกเก็บเงินค่อนข้างสูงเป็นจำนวนหลายแสนบาทไปจนถึงหลักล้านบาทต่อราย และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มหรือเครือข่ายที่ทำผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น ยาเสพติด หรือฟอกเงิน เป็นต้น
สำหรับวิธีการนั้น ทางเครือข่ายที่ร่วมขบวนการจะทำการรวบรวมรายชื่อของคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลหรือตามแนวชายแดน ที่การเดินทางเข้าถึงยากลำบาก ซึ่งคนดังกล่าวมีสูติบัตรแจ้งเกิด แต่เสียชีวิตไปแล้วโดยที่ไม่มีการแจ้งตายและไม่ได้จำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนบ้าน รวมทั้งยังไม่เคยทำบัตรประจำตัวประชาชนมาก่อน จากนั้นนำผู้ที่ต้องการจะสวมตัวทำบัตรประจำตัวประชาชน มาแสดงตัวพร้อมยื่นคำร้องและสวมตัวเป็นคนที่มีชื่อในทะเบียนบ้านดังกล่าว เพื่อขอทำบัตรประจำตัวประชาชน
ทั้งนี้จะมีการพาเจ้าบ้าน, พ่อแม่ญาติพี่น้องของคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนั้น รวมทั้งผู้ใหญ่บ้าน, ผู้นำชุมชนหรือบุคคลที่น่าเชื่อถือ มายืนยันรับรองให้กับเจ้าหน้าที่ด้วยว่าคนที่ขอทำบัตรนั้นเป็นคนเดียวกันกับคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยในการยื่นขอทำบัตรนั้น มักจะเป็นการยื่นขอทำบัตรครั้งแรกเกินกำหนดและนอกพื้นที่ด้วย เพราะระบบมีช่องโหว่อยู่ตรงที่เป็นการทำบัตรครั้งแรกทำให้ในระบบฐานข้อมูลจะยังไม่มีภาพถ่ายใบหน้าและพิมพ์ลายนิ้วมือไว้ใช้เปรียบเทียบ รวมทั้งยากต่อการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เพราะเป็นการทำบัตรนอกพื้นที่ที่กฎหมายให้สิทธิประชาชนไว้ ทำให้เมื่อมีการยื่นหลักฐานครบถ้วนและมีผู้รับรองครบถ้วนทุกอย่าง จึงไม่สามารถปฏิเสธคำร้องได้
โดยตั้งข้อสังเกตว่า เครือข่ายการสวมตัวทำบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวนี้น่าจะต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องร่วมด้วยอย่างแน่นอน เพราะคนทั่วไปย่อมไม่สามารถทราบข้อมูลได้ว่าคนใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน เสียชีวิตไปแล้วหรือหายสาบสูญ โดยที่ไม่เคยแจ้งตายและยังไม่เคยทำบัตรประจำตัวประชาชนมาก่อน ซึ่งเครือข่ายการสวมบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยนั้นถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศชาติอย่างร้ายแรง เพราะเมื่อสวมตัวทำบัตรได้แล้วทำให้ได้สิทธิต่างๆ ตามกฎหมายทุกอย่าง รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการสวมตัวเพื่อหลบหนีการกระทำผิดกฎหมายหรือนำไปใช้หลบเลี่ยงกระทำผิดอื่นๆ อีก เช่น เกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดหรือเครือข่ายฟอกเงิน เป็นต้น
ประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทยระบุว่า ขณะนี้กำลังเตรียมที่จะรวบรวมหลักฐานและข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการปราบกวาดล้างเครือข่ายสวมบัตรอย่างเด็ดขาด พร้อมวางมาตรการป้องกันอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันปัญหานี้ ขณะที่ในช่วงสัปดาห์หน้าเตรียมเข้าพบผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อยื่นหนังสือขอให้เร่งรัดสืบสวนดำเนินคดีกรณีการสวมตัวทำบัตรประชาชนที่อำเภอสารภี ซึ่งปลัดอำเภอสารภีได้แจ้งความดำเนินคดีไว้แล้วที่สถานีตำรวจภูธรสารภี โดยอยากให้จับกุมตัวผู้กระทำผิด ทั้งเจ้าหน้าที่, ผู้สวมตัวทำบัตรประชาชน, ผู้รับรอง และนายหน้า มาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วและอย่างเด็ดขาด พร้อมขยายผลจับกุมทั้งเครือข่ายและตัวการใหญ่ให้ได้ด้วย ซึ่งเชื่อว่าสามารถแกะรอยได้จากเส้นทางการเงิน และอาจจะทำให้พบว่าเครือข่ายนี้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการทำผิดกฎหมายอื่นๆ อีก