ศูนย์ข่าวศรีราชา - ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 เปิดจัดประชาพิจารณ์ ครั้งที่ 3 เพื่อให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบความถูกต้องของร่างรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในส่วนของท่าเทียบเรือเอฟ หลังรัฐมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน เพิ่มศักยภาพรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC
วันนี้ (14 ก.ย.) นายวิวัฒน์ มหาผลศิริกุลรองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานการประชุมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 3 โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือเอฟ โดยมีนายเรืองวิทย์ ศรัณยคุปต์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาศักยภาพโลจิสติกส์ บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด, นางรังษิยากมลพนัส ผู้ชำนาญการสิ่งแวดล้อม บริษัท เอเซียแล็ป แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด พร้อมเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้ที่มีส่วนได้เสียเข้าร่วมประชุมครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ณ ศาลาประชาคมอ่าวอุดม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า การประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งนี้ ประชาชนยังให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าจะผ่านมาถึง 3 ครั้งแล้ว โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของประเทศในการขนส่งสินค้า ซึ่งการพัฒนาอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมบ้างไม่มากก็น้อย แต่ผลดีที่เกิดขึ้นจะมีมากกว่าผลเสีย ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะไม่ผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และผลดีที่เกิดขึ้นจะทำให้จังหวัดชลบุรี หรือประเทศชาติมีรายได้ มีความเจริญ ซึ่งจะเทียบเท่ากับอารยประเทศ “ประชาชนและผู้นำท้องถิ่นให้ความสนใจกับโครงการนี้ ซึ่งจะทำให้การก่อสร้างดำเนินการก่อสร้างไปได้รวดเร็ว แต่ถ้าประชาชนมีความขัดแย้งหรือไม่ให้ความร่วมมือ การก่อสร้างอาจจะสะดุดหรือติดขัดได้ ดังนั้น ทุกๆโครงการแม้จะเป็นของรัฐหรือเอกชนต้องศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน”
นายเรืองวิทย์ ศรัณยคุปต์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาศักยภาพโลจิสติกส์ บริษัทจีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด บริษัทที่ปรึกษาโครงการศึกษา กล่าวว่า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็นโครงการที่ดำเนินการโดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือEEC ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0
เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือและระบบโครงข่ายขนส่งต่อเนื่องที่จะต่อเชื่อมกับภายนอกให้เพียงพอต่อการรองรับการขยายตัวของปริมาณสินค้าเรือ และการขนส่งสินค้าประเภทต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที ไม่ให้ประสบปัญหาด้านความแออัดและกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือเอฟ เป็นโครงการที่ กทท.ได้เปิดโอกาสให้เอกชนเข้าร่วมในการพัฒนาท่าเทียบเรือเอฟ 1 และท่าเทียบเรือเอฟ 2 ในรูปแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ซึ่งมีระยะเวลาการร่วม ลงทุน 35 ปี สำหรับพัฒนาท่าเทียบเรือขนส่งตู้สินค้า บนพื้นที่ประมาณ 688 ไร่ ความยาวหน้าท่ารวมทั้ง 2 ท่า ประมาณ 2,000 เมตร มีพื้นที่หน้าท่ากว้าง 34.5 เมตร ซึ่งจะสามารถรองรับการขนถ่ายตู้สินค้าได้กว่า 4 ล้านทีอียูต่อปี และสามารถรองรับเรือขนส่งสินค้าขนาด 1.7 แสนเดตเวทตัน หรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ได้
15,000 ตู้
ด้านนางรังษิยา กมลพนัส ผู้ชำนาญการสิ่งแวดล้อม บริษัท เอเซีย แล็ป แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด กล่าวว่า โครงการดังกล่าวอาจมีผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมกับชุมชนโดยรอบ ซึ่งได้กำหนดพื้นที่การศึกษาของโครงการครอบคลุมรัศมี 5 กม. โดยจะครอบคลุมพื้นที่ 22 ชุมชน จาก 4 ตำบลใน 2 อำเภอของหวัดชลบุรี ได้แก่ ศรีราชา และบางละมุง จึงได้ทำการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวขึ้นเพื่อให้ข้อมูลกับผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ศึกษา รวมทั้งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงรายละเอียดของโครงการ ผลการสำรวจและศึกษาแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชน โดยที่ผ่านมาได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไปแล้ว 2 ครั้ง
สำหรับครั้งนี้เป็นครั้งที่3 แล้ว เพื่อให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบความถูกต้อง และความครบถ้วนสมบูรณ์ของร่างรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงนำเสนอข้อมูล ข้อเท็จจริง และข้อคิดเห็นเพิ่มเติมต่อร่างรายงานดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในร่างรายงานมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และร่างมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบ
หลังรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่3 แล้ว จะสรุปผลและนำเสนอต่อสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (สผ.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจะยื่นขอใบอนุญาตการก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำต่อไป คาดว่าจะยื่นต่อ สผ.ประมาณสิ้นปี2565 นี้ ตามแผนงานที่วางไว้ ที่ผ่านมาได้รับข้อเรียกร้องจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งข้อเรียกร้องของประชาชนและชุมชนส่วนใหญ่เป็นห่วงด้านการขนถ่ายสินค้า หวั่นจะมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย และความปลอดภัยของชุมชน โดยจะนำข้อเรียกร้องมาปรับปรุงและผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งของรายงาน