บุรีรัมย์ - ลุงวัย 54 ปีชาวบุรีรัมย์ถูกรถพ่วงชน จยย.ขาขวาขาดร้องขอความเป็นธรรม ถูก ตร.บังคับเซ็นยอมรับผิดฐานประมาทฝ่ายเดียว ซ้ำโดนบริษัทประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายอีกกว่า 4 หมื่น ทั้งที่ต้องกลายเป็นคนพิการใช้ชีวิตด้วยความลำบากลำพัง ร้องไปหลายหน่วยงานแต่เรื่องเงียบ วอน สตช.ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรม
วันนี้ (18 ส.ค.) นายบุญญพัฒน์ นิราพาธ อายุ 54 ปี ชาวอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ถูกรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อเฉี่ยวชนขณะขับขี่รถจักรยานยนต์จนทำให้ขาขวาท่อนล่างขาดกลายเป็นคนพิการตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค. 2564 ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรม โดยอ้างว่าถูกพนักงานสอบสวนบังคับให้เซ็นยอมรับผิดฐานประมาทฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย (ทรัพย์สินที่เสียหายคือรถพ่วงคู่กรณี) โดยให้เซ็นยอมรับผิดฝ่ายเดียวและทำการเปรียบเทียบปรับในชั้นพนักงานสอบสวนจำนวน 500 บาท เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 64 หลังออกจาก รพ.เพียงไม่กี่วัน
ทั้งยังระบุในเอกสารด้วยว่าคู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจดำเนินคดีกันอีกทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ต่อมาเมื่อเดือน ก.ย. 2564 ทางบริษัทประกันภัยที่รถพ่วง 22 ล้อคู่กรณีทำประกันไว้ กลับใช้เอกสารที่พนักงานสอบสวนบังคับให้เซ็นยอมรับผิด มาฟ้องเรียกค่าเสียหายตนเองจำนวน 41,054.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจนถึงวันชำระ
นายบุญญพัฒน์บอกว่า ที่ตนยอมเซ็นรับผิดเพราะด้วยความที่ไม่รู้กฎหมาย เรียนจบแค่ ป.6 พอพนักงานสอบสวนบอกว่าเซ็นๆ ไปจะได้จบ ทั้งที่ตนก็ไม่ได้สมัครใจจะเซ็น ประกอบกับขณะนั้นทั้งสติและสภาพร่างกายไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเพิ่งออกจาก รพ.ได้เพียง 2 วัน ก็ต้องจำใจเซ็นตามที่พนักงานสอบสวนบอก แต่ไม่คิดว่าเซ็นแล้วจะกลายเป็นคนผิดฝ่ายเดียว
ทั้งที่จริงแล้วตนมองว่าควรจะเป็นประมาทร่วมมากกว่า เพราะจุดที่เฉี่ยวชนกันตนขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาตรงจุดที่มีแบริเออร์กั้นแต่มีรถจักรยานยนต์ขี่ผ่านไปมาในช่องดังกล่าวตลอด ส่วนรถพ่วงวิ่งมาด้วยความเร็วทั้งที่จุดดังกล่าวเป็นเขตชุมชนและมีป้ายเขตชุมชนลดความเร็วชัดเจน และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตนเป็นฝ่ายขาขาดแต่คู่กรณีแค่รถเสียหายเล็กน้อย
ดังนั้นคดีดังกล่าวควรจะได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยให้ศาลเป็นคนตัดสินเพื่อความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ให้พนักงานสอบสวนชี้ว่าใครผิดถูก
จึงอยากให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้ความเป็นธรรมแก่ตนเองด้วย เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทำให้ตนเองต้องสูญเสียขากลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต ปัจจุบันต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังด้วยความยากลำบากเพราะพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนภรรยาแยกทางไปมีครอบครัวใหม่ ต้องดิ้นรนรับจ้างหาเลี้ยงตัวเองลำพังแม้จะพิการ ที่ผ่านมาพยายามเดินเรื่องร้องเรียนทั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ และกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ แต่เรื่องก็ยังเงียบหาย