บุรีรัมย์ - ป้าวัย 57 ชาวบุรีรัมย์สุดช้ำใจ หลานสาวแท้ๆ อ้อนวอนให้เซ็นค้ำซื้อรถพ่วงหลานเขย สุดท้ายถูกบริษัทฟ้องตกเป็นจำเลยที่ 3 เพราะคนซื้อไม่ชำระค่างวดเป็นหนี้เกือบ 10 ล้าน งงหนักได้รับหมายบังคับคดียึดที่ทำกิน 23 ไร่ แต่หลานเขยและพี่ชายที่เป็นคนเช่าซื้อและคนค้ำร่วมกลับใช้ชีวิตหรูหรามีธุรกิจใหญ่โตไม่ถูกยึดทรัพย์ เครียดจัดถึงขั้นยอมตายหากรักษาที่ทำกินไว้ให้ลูกหลานได้
วันนี้ (10 พ.ค.) นางสุพัตตรา สอาดชอบ อายุ 57 ปี ชาว อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้ออกมาร้องขอความเป็นธรรม หลังจากเมื่อปี 2558 หลานสาวแท้ๆ ได้มาขอร้องอ้อนวอนให้ช่วยเซ็นค้ำประกันซื้อรถพ่วงให้หลานเขย โดยอ้างว่าจะเอารถพ่วงไปรับจ้างขนผลผลิตทางการเกษตร เห็นว่าเป็นหลานสาวแท้ๆ จึงเชื่อใจ ก็ยอมไปเซ็นค้ำให้ แต่วันที่ไปเซ็นค้ำกลับใช้ชื่อของ นายบุญถึง (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 72 ปี ซึ่งเป็นพี่ชายของ นายแดง อายุ 50 ปี หลานเขยเป็นคนเช่าซื้อ ส่วนนายแดง หลานเขย และตนเองเป็นคนเซ็นค้ำประกัน 2 คน โดยวันที่ไปเซ็นค้ำประกันให้ตนก็ไม่ได้อ่านสัญญาทั้งหมดเพราะเอกสารเยอะมาก ประกอบกับเชื่อใจหลานสาวคงไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งเขาบอกว่าซื้อรถพ่วง 1 คัน แต่ไม่ได้บอกว่าราคาเท่าไหร่ หลังจากเซ็นเสร็จก็กลับมาใช้ชีวิตทำมาหากินตามปกติ
กระทั่งเมื่อช่วงปลายปี 2562 มีหมายศาลจังหวัดนางรองส่งมาที่บ้าน โดยในหมายระบุว่า ทางบริษัทที่ขายรถพ่วง ยื่นฟ้อง นายบุญถึง ผู้เช่าซื้อรถ จำเลยที่ 1 เพราะผิดสัญญาเช่าซื้อรถพ่วงไม่ได้ชำระค่างวด ส่วนนายแดง หลานเขย ตกเป็นจำเลยที่ 2 และตนเป็นจำเลยที่ 3 ในฐานะคนค้ำประกัน ซึ่งตนก็ตกใจมากเพราะตอนไปเซ็นค้ำหลานรับปากดิบดีว่าจะชำระค่างวดไม่ให้มีปัญหา ซึ่งตนก็เดินทางไปตามที่ศาลนัด ซึ่งหลานเขย และพี่ชายที่เป็นผู้เช่าซื้อ ก็มีการทำสัญญาประนีประนอมกับทางบริษัท ว่าจะชำระค่างวดรถที่ค้างกับทางบริษัทระหว่างวันที่ 10 ม.ค. 2563 เสร็จสิ้นภายในวันที่ 10 ธ.ค. 2565 ซึ่งทั้งสองรับปากกับตนเองว่าจะรับผิดชอบหนี้ค่างวดที่เหลือเองทั้งหมดไม่ให้ตนเองเดือดร้อนแน่นอน ก็รู้สึกสบายใจขึ้น
แต่ด้วยความที่อยากรู้ว่ารถพ่วงที่ตนเซ็นค้ำประกันให้นั้นเหลือยอดค้างชำระเท่าไหร่ จึงเดินทางไปสอบถามกับบริษัทไฟแนนซ์ ก็ต้องตกใจเพราะบริษัทแจ้งว่าตนได้เซ็นค้ำประกันซื้อรถพ่วงถึง 2 คัน เป็นยอดเงินเกือบ 10 ล้านบาท ทั้งที่หลานสาวและหลานเขยบอกว่าคันเดียว จากนั้นจึงพยายามติดต่อไปหาหลานสาว และหลานเขย แต่ไม่สามารถติดต่อได้ทั้งไลน์ มือถือ ถูกบล็อกการติดต่อทุกช่องทาง
ล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย. 2565 ที่ผ่านมาก็มีหมายจากบังคับคดีส่งมาที่บ้าน ระบุว่าจะยึดที่ดินแปลง 23 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินทำกินผืนเดียวของครอบครัว ที่ไว้สำหรับทำนา ปลูกอ้อย และทำสวนเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งภายในวันที่ 18 พ.ค.ที่จะถึงนี้หากไม่ชำระค่างวดที่ค้างหรือนำรถไปคืนบริษัท ทางบังคับคดีก็จะยึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาด
ตนและลูกชายจึงไปตามหานายแดงที่อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ครั้งแรกไม่พบ ครั้งที่สองได้เจอ แต่นายแดงบอกว่าได้เลิกกับหลานสาวตนเองแล้ว ส่วนรถพ่วงก็ขายไปแล้ว เขาบอกเหมือนกับจะไม่รับผิดชอบอะไร แต่เท่าที่ตนไปเห็นหลานเขยฐานะร่ำรวย มีธุรกิจใหญ่โตเป็นของตัวเอง และใช้ชีวิตแบบหรูหรา ก็แปลกใจว่าทำไมหลานเขย และพี่ชายของหลานเขย จำเลยที่ 1 และ 2 ถึงไม่ถูกยึดทรัพย์ กลับใช้ชีวิตหรูหรา แต่ตนซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ทำไมถึงมีหมายบังคับคดียึดที่ดินทำกิน
รู้สึกเสียใจมากไม่คิดว่าหลานสาว และหลานเขยจะทำแบบนี้กับตนเองได้ลงคอ ตอนนี้เดือดร้อนมาก เครียดถึงขั้นคิดสั้นอยากจะฆ่าตัวตาย ซึ่งหากตนจบชีวิตแล้วหมายบังคับคดียึดที่ดินเป็นโมฆะได้ ตนก็จะยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อแลกกับที่ดินผืนดังกล่าวซึ่งเป็นที่ทำกินผืนเดียว เก็บไว้ให้ลูกหลานทำกิน ก็ฝากเป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าไปเชื่อค้ำประกันให้ใคร สุดท้ายตัวเองจะเดือดร้อนเอง