อุดรธานี - ใครจะเชื่อว่า จ.อุดรธานีจะปลูกต้นองุ่นได้ ล่าสุดเจ้าของเต็นท์รถมือสองที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิดหันมาทำไร่องุ่น ปลูกมากถึง 7 สายพันธุ์ ลองผิดลองถูกอยู่นานจนได้ผลผลิตที่น่าพอใจ สามารถเก็บขายได้แล้วสูงสุดกิโลฯ ละ400 บาท ลูกค้าหลายคนจองไว้ตั้งแต่ต้นองุ่นยังไม่ติดดอก
จากเจ้าของธุรกิจเต็นท์รถมือสอง ผันตัวเองเป็นเกษตรกรปลูกองุ่นกว่า 7 สายพันธุ์ บนพื้นที่ 1ไร่จากสวนผสมที่ปลูกไม้ผลหลากหลายชนิดที่กินได้ขายได้จำนวน 3 ไร่ ลองผิดลองถูกจนรู้สึกท้อ แต่ก็ไม่เคยละความพยายาม จน ณ วันนี้ ไร่องุ่นจากน้ำพักน้ำแรงได้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่ของจังหวัดอุดรธานี โดย "สวนองุ่นกุลณดา" ที่กล่าวถึงอยู่ในเขตพื้นที่บ้านหนองหมื่นท้าว ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานี
นางกุลณดา จันทวงษ์ อายุ 48 ปี เจ้าของสวนองุ่นกุลณดา เล่าว่า เดิมทีนั้นตัวเธอไม่ได้ทำอาชีพเกษตรกรรม ทำธุรกิจเปิดเต็นท์ขายรถยนต์มือสอง แต่หลังจากได้รับผลกระทบโรคระบาดโควิด-19 ยาวนานร่วม 2 ปี เต็นท์รถมือสองยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า เพราะกำลังซื้อในตลาดลดลง ก็เลยคิดหาอาชีพใหม่เข้ามาเสริม ทำควบคู่กันไป และด้วยที่ตัวเองชอบกินองุ่นมาก ถึงขั้นหลงใหลในรสชาติองุ่นก็ว่าได้ จึงมีแนวคิดปลูกองุ่นไว้กินเองดีกว่า ส่วนตัวแล้วไม่มีความรู้เรื่องเกษตร
คนใกล้ชิดหลายคนก็ไม่เห็นด้วย บอกว่าองุ่นไม่สามารถปลูกได้ในพื้นที่ภาคอีสานหรือจังหวัดอุดรธานี เพราะองุ่นไม่ชอบพื้นที่ราบลุ่ม ทั้งชอบอากาศที่เย็น
"แม้หลายคนเตือนด้วยความหวังดี แต่ตัวเองได้ตั้งใจไว้แล้วว่าอยากปลูกองุ่น จึงศึกษาหาความรู้การปลูกองุ่นการดูแลต้นองุ่นจากในอินเทอร์เน็ต และไปเข้าคอร์สดูงานฝึกอบรมที่ศูนย์วิจัยโครงการหลวงอุทยานราชพฤกษ์เชียงใหม่ ก็ได้ความรู้เยอะเลย มีกำลังใจที่จะลงมือปลูกเองมากขึ้น” นางกุลณดากล่าว และว่า
องุ่นที่ตนปลูกจะเป็นสวนองุ่นปลอดสารเคมี ใช้วิธีปลูกแบบกิ่งป่าติดตาพันธุ์และให้อยู่ในโรงเรือน ถือเป็นช่วงทดลองปลูก โดยปลูกพันธุ์องุ่นมากถึง 7 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ไชน์มัสแคท, พันธุ์เคียวโฮ, พันธุ์ไวต์มะละกา, พันธุ์แบล็กโอปอลไร้เมล็ด, พันธุ์รูทเพอเรท, พันธุ์ซูเปอร์สวีต และพันธุ์คริมสันแดงไร้เมล็ด ปลูกองุ่นมาได้ราว 2 ปี ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีมีผลผลิตออกให้ได้กินได้ฝากญาติ และขาย และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทั้งหมดไปแล้วราว 500 กิโลกรัม สร้างรายได้ที่ดีพอสมควรในช่วงทดลองปลูก
ราคาจำหน่ายหน้าสวน เช่น องุ่นพันธุ์ไวต์มะละกา จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 200 บาท แบล็กโอปอล 300 บาท/กิโลกรัม พันธุ์ไชน์มัสแคทที่ถือเป็นราชาองุ่นราคาขายกิโลกรัมละ 400 บาท ขณะนี้องุ่นมีไม่พอขายความต้องการของลูกค้ามีสูงมาก ลูกค้าบางคนจองไว้ตั้งแต่ต้นองุ่นยังไม่ติดดอกก็มี
นางกุลณดากล่าวต่อว่า พื้นที่สวนมีทั้งหมด 3 ไร่ ปลูกองุ่นเป็นหลักประมาณ 1 ไร่ นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่เป็นที่อยู่อาศัยและทำเป็นเกษตรผสมผสาน ปลูกส้มโอ ละมุด ลำไย ลิ้นจี่ ส้มสายน้ำผึ้ง พืชผักที่ตัวเองกินได้โดยไม่ต้องพึ่งพาจากแหล่งอื่น ส่วนเทคนิคในการปลูกเริ่มจากช่วง 1-12 เดือน จะเลี้ยงต้นองุ่นให้โตเต็มที่โดยให้ปุ๋ยอินทรีย์และเคมี ต่อมาช่วงเดือนที่ 13 -17 เราก็ให้แต่ปุ๋ยอินทรีย์จนกระทั่งต้นองุ่นเกิดตาดอก
ส่วนน้ำเราติดตั้งระบบต่อท่อและให้น้ำแบบสปริงเกอร์ เทคนิคสำคัญที่จะได้ผลผลิตเราต้องตัดกิ่งแต่งกิ่ง หากไม่ตัดแต่งต้นองุ่นจะไม่ออกลูก จุดนี้ส่วนใหญ่คนไม่รู้กัน
อนาคตถ้ามีใครอยากศึกษาข้อมูลเราสามารถให้คำแนะนำได้ อย่างไรก็ดี สวนแห่งนี้ตอนนี้ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีคนสนใจเข้ามาขอชมขอถ่ายรูปและซื้อองุ่นกลับไปกิน จนกลายเป็นที่รู้จักโดยบอกกันแบบปากต่อปาก และมีคนมาเยี่ยมชมอยู่ตลอดเวลา