บุรีรัมย์ - แม่ชาว อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์น้ำตานอง เรียกร้องค่ายทหารทุกหน่วยใส่ใจดูแลทหารเกณฑ์ให้มากกว่านี้ หลังปล่อยลูกชายป่วยหนักไปหาหมอแค่ให้ยามากิน ไม่ตรวจโรคละเอียด แถมติดโควิดแต่ไม่แจ้งปล่อยเจ็บปวดทรมานนาน 3 เดือนจนปลดประจำการ กลับมาบ้านแม่ส่ง รพ. หมอบอกเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองไม่กี่วันสิ้นใจ
วันนี้ (28 ม.ค.) นางมนัสนันท์ เทอร์เรลล์ อายุ 53 ปี ชาว ต.โนนดินแดง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ได้ร้องเรียนผ่านสื่อ กรณีลูกชายซึ่งเป็นทหารเกณฑ์เสียชีวิต เพราะไม่ได้รับการรักษา อยากให้เป็นกรณีตัวอย่าง ให้ค่ายทหารทุกหน่วยดูแลเอาใจใส่ทหารเกณฑ์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีกว่านี้
นางมนัสนันท์เล่าว่า เมื่อปี 2563 นายสิทธิศักดิ์ ทองทา หรือน้องเจ ลูกชายซึ่งตอนนั้นอายุได้ 21 ปี ถึงวัยเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ลูกชายจึงสมัครโดยไม่ต้องจับสลากเพราะอยากเป็นทหาร จากนั้นเดือนกันยายน 2563 ลูกชายถูกส่งไปเข้าค่ายที่กรมทหารต่อสู้อากาศยานรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งจะต้องอยู่ฝึกทหารเป็นเวลา 1 ปี เพราะสมัครเข้าไป โดยระหว่างที่เข้าค่ายลูกชายจะติดต่อโทรศัพท์และคุยไลน์กับแม่ตลอดเวลา
ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนปลดประจำการ ลูกชายเริ่มส่งข้อความบอกตนว่า ไม่สบาย มีอาการปวดหัวรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ ลูกชายบอกว่าแจ้งให้ครูฝึกทราบหลายครั้ง ครูฝึกส่งไปหาหมอ 2 ครั้ง ได้แค่ยามากินอยู่ค่ายแต่ไม่หายจากอาการปวด แต่ไม่กล้าบอกครูฝึกบ่อยเพราะกลัวถูกทำโทษ แม่จึงซื้อยาจากบ้านส่งไปให้ลูกกินในค่าย แต่ลูกยังส่งข้อความมาทางไลน์หลายครั้งว่าปวดสะท้านไปทั้งตัวถึงขนาดบอกให้แม่ติดต่อทางค่ายขอให้ส่งตัวกลับก่อนปลดประจำการ
ตอนนั้นรู้สึกสงสารลูกมากแต่ทำอะไรไม่ได้ ไปเยี่ยมก็ไม่ได้ และลูกชายจะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะเป็นช่วงโควิด-19 ระบาด ได้แค่บอกให้ลูกอดทนเพราะเหลืออีกไม่กี่เดือนจะได้กลับบ้านแล้ว กระทั่งวันที่ 19 ส.ค. 64 ทราบจากลูกชายว่าตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 ถูกส่งตัวเข้ารักษาที่ รพ.สนาม เป็นเวลา 14 วัน
นางมนัสนันท์เล่าทั้งน้ำตาว่า ลูกอดทนจนถึงวันที่ปลดประจำการเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 64 ได้เหมารถตู้ไปรับกลับบ้าน แล้วมากักตัวต่ออีก 14 วันที่บ้าน อ.โนนดินแดง แต่ระหว่างที่อยู่กักตัวยังไม่ครบ 14 วัน ลูกชายอาการทรุดหนัก ต้องหามส่ง รพ.โนนดินแดง แล้วถูกส่งตัวไปที่ อ.นางรอง กระทั่งหมอระบุพบโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง ก่อนถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่ รพ.บุรีรัมย์ แล้วเสียชีวิตคืนวันที่ 30 ก.ย. 64 ตนเสียใจมากไม่คิดว่าจะต้องมาเสียลูกชายเพียงคนเดียว
การที่ตนออกมาร้องผ่านสื่อในครั้งนี้ไม่ต้องการจะกล่าวโทษใคร และไม่ต้องการจะเรียกร้องเงินทองหรือความรับผิดชอบอะไร แต่อยากจะให้กรณีที่เกิดขึ้นกับลูกชายเป็นอุทาหรณ์ เพราะใกล้จะถึงเวลาคัดเลือกทหารในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้แล้ว อยากให้ค่ายทหารแต่ละค่าย ดูแลลูกน้องของตัวเอง ไม่ควรปล่อยปละละเลย เหมือนลูกชายของตนที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร พอมีอาการแค่ได้ยามากินไม่ได้มีการตรวจให้ละเอียด และไม่แจ้งให้ผู้ปกครองทราบ จนไม่ได้รับการตรวจรักษาที่อย่างทันท่วงทีและจริงจังจนถึงขั้นเสียชีวิต