บุรีรัมย์ - “เต้ มงคลกิตติ์” รอดนอนคุกคดีหมิ่น “ศักดิ์สยาม” ตำรวจให้ประกันตัว 4.5 หมื่น ชี้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา งานเข้าอีกถูกแจ้งเพิ่ม 1 ข้อหาฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานหลังให้สัมภาษณ์ตำรวจและศาลจังหวัดเป็นลูกน้องผู้มีอิทธิพล เจ้าตัวโวยไม่เหมาะ ผกก.มาเป็นโจทก์ผู้ถูกกล่าวหา ทำคดีไม่เป็นธรรม ด้านผู้การฯ ตร.แจงปมออกหมายเรียกก่อนไลฟ์สดเกิดจากแบบฟอร์มในระบบคอมพ์ผิดพลาด
วันนี้ (21 ต.ค.) ความคืบหน้ากรณี นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เข้ามอบตัวต่อ พ.ต.ท.ไชยา สระโสม พนักงานสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์ ที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ วันนี้ เมื่อเวลา 15.00 น. หลังศาลแขวงบุรีรัมย์ได้อนุมัติออกหมายจับ เลขที่ จ.321/2564 ลงวันที่ 20 ต.ค. 64 ข้อหา กระทำความผิดฐานทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามที่นายศักดิ์สยาม
ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้มอบอำนาจให้ นายทิวา
การกระสัง ทนายความส่วนตัว ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์
หลังจากเข้ามอบตัวพนักงานสอบสวนได้ใช้เวลาในการสอบปากคำนายมงคลกิตติ์เป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง จากนั้นเวลา 17.45 น. นายมงคลกิตติ์ได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน โดยใช้เงินเดือนในตำแหน่ง ส.ส.ยื่นขอประกันวงเงิน 45,000 บาท
จากนั้น นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ให้สัมภาษณ์แก่สื่อที่มาติดตามทำหน้าที่หน้าโรงพักว่า ที่เดินทางมาในวันนี้ได้มารับทราบข้อกล่าวหาตามที่ถูกออกหมายจับคดีหมิ่น และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งจะใช้พยานเอกสาร หลักฐาน และพยานบุคคล ให้พนักงานสอบสวนนำสืบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นทูตญี่ปุ่น ผู้ว่าฯ การรถไฟฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.ลุมพินี และเจ้าของร้านอีก 2 ร้าน รวมถึงคนใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องในกระทรวงคมนาคมว่าติดโควิด-19 จากจุดไหนอย่างไร ซึ่งเป็นการต่อสู้ในชั้นพนักงานสอบสวน ซึ่งจะรวบรวมหลักฐานมายื่นต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้เห็นว่าที่พูดไปเพราะประโยชน์สาธารณะ
ส่วนกรณีที่ผู้กำกับการ สภ.เมืองบุรีรัมย์มีการแจ้งความเพิ่มอีก 1 ข้อหาคือหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานนั้น เบื้องต้นทราบเรื่องแล้ว แต่ถ้าจะดำเนินคดีต้องออกหมายเรียกไปหลังจากนี้ตามขั้นตอน แต่ส่วนตัวไม่ได้อยากเอาเรื่องใครในชั้นพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีที่นำหมายจับของตนเองไปเผยแพร่ในโซเชียลฯ ซึ่งเป็นเอกสารปิดผนึกที่มีข้อมูลส่วนตัวของตนเองอยู่ด้วย ถือเป็นความผิดฐานประพฤติมิชอบ
ส่วนตัวไม่ได้มีเรื่องกับพนักงานสอบสวน ถ้าพอจะพูดคุยกันได้ก็จะไม่เอาเรื่อง มองว่าพนักงานสอบสวนควรจะเป็นกลาง ไม่ใช่ ผกก.หรือพนักงานสอบสวนมาเป็นโจทก์ เพราะไม่อย่างนั้นตนต้องทำเรื่องถึง ผบ.ตร.ให้ย้าย ผกก.ออกนอกพื้นที่ทันทีเพราะถือว่าเป็นคู่อริกับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งตนจะต้องเสนอให้ย้าย 5 เสือเพราะไม่เช่นนั้นการทำคดีของตนเองจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ผกก.และพนักงานสอบสวนควรจะเป็นคนกลางในการทำคดีไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าในอนาคตจะมีแนวโน้มในการไกล่เกลี่ยคดีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาหรือไม่นั้น นายมงคลกิตติ์ตอบว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่งก็ว่ากันไป เพราะสิ่งที่ตนพูดไปเป็นเรื่องผลกระทบต่อส่วนรวมแต่อาจจะมีตัวบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งท่านเป็นฝ่ายบริหารก็จะถูก ส.ส.ฝ่ายค้านตรวจสอบท้วงติงเป็นเรื่องปกติ ถ้าท่านทนไม่ได้ท่านก็ควรจะออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าทนได้ท่านก็ต้องยอมรับการตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ผู้กำกับการ สภ.เมืองบุรีรัมย์ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหานายมงคลกิตติ์เพิ่มอีก 1 ข้อหาฐานหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยการให้สัมภาษณ์แก่สังกัดหนึ่งว่าตำรวจและศาลจังหวัดเป็นลูกน้องผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังการเมือง
พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้อธิบายลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับคดีของนายมงคลกิตติ์ว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2564 นายทิวา การกระสัง ทนายความ ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้แจ้งความร้องทุกข์ต่อนายมงคลกิตติ์ ในข้อหา “โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” จากนั้นทางพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ดำเนินการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องและมีการออกหมายเรียกตามขั้นตอน
ส่วนกรณีที่นายมงคลกิตติ์ติดใจเกี่ยวกับการออกหมายเรียกที่ลงวันที่ 10 เม.ย. 2564 นั้น ขอชี้แจงว่าเกิดจากแบบฟอร์มในระบบคอมพิวเตอร์ผิดพลาด ซึ่งทางพนักงานสอบสวนก็ได้ยกเลิกหมายเรียกดังกล่าวไปแล้ว และได้แจ้งให้นายมงคลกิตติ์ทราบด้วย หลังจากนั้นได้ออกหมายเรียกใหม่ โดยหมายเรียกครั้งที่ 1 ออกเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 64 ให้นายมงคลกิตติ์มาพบในวันที่ 7 ต.ค. แต่นายมงคลกิตติ์ได้ขอเลื่อนการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
จากนั้นได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ในวันที่ 8 พ.ค. 64 ให้นายมงคลกิตติ์มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 17 พ.ค. 64 แต่นายมงคลกิตติ์ไม่เข้ามาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับถึง 4 ครั้ง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ศาลก็ได้อนุมัติหมายจับนายมงคลกิตติ์ ซึ่งเจ้าพนักงานดำเนินการตามขั้นตอน ส่วนการให้ประกันตัวก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งไม่ได้เข้าไปยุ่งแต่อย่างใด