ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- เผย “ส.ต.ท.” ร่ำไห้รับสารภาพสิ้นก่อเหตุบุกจี้ร้านทอง ยิงเจ้าของร้าน ในห้างฯบิ๊กซี ปากช่อง อ้างหนี้ท่วม 1.4 ล้าน ซ้ำพ่อป่วยติดเตียงต้องใช้เงินมาก พร้อมสำนึกผิดโทรฯขอโทษผู้เสียหาย ขณะ“ผบช.ภ.3” ขอโทษปชช.ตำรวจเป็นคนก่อเหตุซ้ำสวมเสื้อเกราะและใช้ปืนราชการ เผยนิ้วไหนไม่ดีต้องตัดทิ้ง ให้ออกจากราชการแล้ว เจอ 3 ข้อหาหนัก ยันทำคดีตรงไปตรงมา ส่วนทองชิงไป 126 บาทได้คืนครบ
วันนี้ (3 ก.ย.) เมื่อเวลา 15.30 น. ที่ห้องประชุม สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) พร้อมคณะ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ก่อเหตุชิงทรัพย์ ร้านทอง ใน บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขา ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ได้ผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. ปากช่อง ทราบชื่อคือ ส.ต.ท.อนุชา บุญอารักษ์ อายุ 25 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันและปราบปราม สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ช่วยงานสิบเวร ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 กล่าวว่า ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนที่ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเป็นข้าราชการตำรวจเสียเอง ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ซึ่งนิ้วไหนไม่ดีเราก็ต้องตัดทิ้ง และเจ้าหน้าที่เราไม่ได้นิ่งนอนใจเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น เจ้าหน้าที่เร่งทำงานอย่างเต็มที่และดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างรวดเร็ว โดยชุดเสื้อเกราะที่ผู้ต้องหาสวมไปก่อเหตุนั้น เป็นของส่วนตัวแต่อาวุธปืนขนาด 9 มม. เป็นของทางราชการ
อย่างไรก็ตามขอเรียนว่า ในช่วงกลางดึกที่ผ่านเราไม่ได้ตั้งใจนำผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ แต่ตัวผู้ต้องหาเองที่เต็มใจจะพาไป โดยได้นำเจ้าหน้าที่ไปชี้จุดที่ซ่อนทองรูปพรรณ จุดเผาเสื้อผ้า เราจึงถือโอกาสทำแผนประกอบคำรับสารภาพไปเลย ไม่ได้ตั้งใจที่จะหลบหรือกีดกันไม่ให้สื่อมวลชนไปถ่ายภาพทำข่าวแต่อย่างใด ประกอบกับเป็นการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ด้วย
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวต่อว่า การสืบหาตัวคนร้ายนั้นเราเอาข้อมูลหลายอย่างมาประกอบกัน โดยเฉพาะเสื้อเกราะที่สวมในวันก่อเหตุทำให้การหาตัวคนร้ายแคบลง ประกอบกับเพื่อนตำรวจจำท่าเดินได้และผู้ต้องหารายนี้ลางานไป 2 วัน จึงนำไปสู่การจับกุม ซึ่งจากที่ได้พูดคุยกับผู้ต้องหาทางโทรศัพท์เขาก็ร้องไห้ และเสียใจกับการหลงผิด และรับสารภาพและยอมรับผิดต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย เบื้องต้นเราให้ออกจากราชการแล้ว
ด้าน พล.ต.ต. พรชัย นลวชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา (ผบก.ภ.จว.นม.) กล่าวว่า ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แม้ว่าเราจะเฝ้าระวังอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ซึ่งจากเหตุการณ์นี้จะต้องนำกลับมาหาทางป้องกันแก้ไขต่อไป อย่างไรก็ตามเราไม่ได้นิ่งนอนใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นเราพยายามสืบทราบให้เร็วที่สุด จนเรารู้ตัวคนร้าย เมื่อเรียกตัวมาสอบสวนผู้ต้องหาก็รับสารภาพและสำนึกผิด และได้โทรศัพท์ไปขอโทษผู้เสียหาย และให้การในรายละเอียดต่างๆ กับเจ้าหน้าที่ ทั้งรถคันที่ก่อเหตุที่นำไปติดสติ๊กเกอร์ใหม่ จากนี้การดำเนินการจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่าเราจะทำคดีอย่างตรงไปตรงมา แม้ผู้ต้องหาจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ขอให้ประชาชนไว้ใจได้
ขณะนี้ได้แจ้งข้อกล่าวหาไว้ 3 ข้อหา คือ 1.ชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธและใช้ยานพาหนะ ,2. พยายามฆ่า และ 3. พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ สำหรับสาเหตุของการณ์ก่อเหตุครั้งนี้ผู้ต้องหารับว่า มีภาระหนีสิ้นมากโดยการไปกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ จ.บุรีรัมย์ รวมประมาณกว่า 1.4 ล้านบาท ประกอบกับบิดาป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ต้องใช้เงินจำนวนมากในการผ่าตัดรักษาและดูแล
ส่วนการสวมเสื้อของไรเดอร์นั้น เพื่อจงใจที่จะอำพรางโดยผู้ต้องหาสั่งซื้อชุดมาไม่ได้เข้าไปเป็นพนักงานแต่อย่างใด และการที่คนร้ายนำขวดที่มีควันไปตั้งไว้หน้าร้านก่อนลงมือนั้น คนร้ายทำขึ้นมาเองโดยใช้ คลอรีน, น้ำตาลทราย และเอาน้ำมันเบรกใส่ไปจะเกิดควันสีขาว แต่หากใช้น้ำมันเครื่องควันจะมีสีดำ ซึ่งคนร้ายศึกษามาเพราะต้องการอำพรางในช่วงก่อเหตุ อีกทั้งบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจยิงเจ้าของร้านเพียงแต่ไม่ต้องการให้มาต่อสู้กอดรัดตัวไว้เท่านั้น
สำหรับของกลางทองรูปพรรณของกลางที่ชิงไปมีทั้งหมด 132 เส้น น้ำหนัก 126 บาท มูลค่ากว่า 3.5 ล้าน จากการตรวจสอบของเจ้าของร้านทองยืนยันว่าได้มาครบทั้งหมดผู้ต้องหานำใส่ถุงพลาสติดไปซ่อนไว้ในอ่างบัวภาย ภายในบริเวณบ้านพัก เลขที่ 87 หมู่ 8 ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ยังไม่ได้นำทองออกไปที่อื่น
ทั้งนี้ ผู้ต้องหารายนี้ได้ย้ายมาจาก สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. มาอยู่ สภ.ปากช่องได้ประมาณ 7 เดือน มีหนี้สินมาจาก จ.บุรีรัมย์