ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - สสจ.โคราชสั่งตั้ง กก.สอบข้อเท็จจริง รพ.เฉลิมพระเกียรติฉีดวัคซีนไฟเซอร์บูสเตอร์โดสเข็ม 3 ให้ภรรยา ผอ.รพ. และสามีหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม อ้างไม่ใช่บุคลากรด่านหน้า คาด 3 วันรู้ผล หากพบไม่ถูกต้องเอาผิดทางวินัย ด้าน ผอ.รพ.ขอความเห็นใจทำตามเงื่อนไขกำหนด วอนอย่าทำลายกำลังใจคนด่านหน้า
วันนี้ (16 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีโซเชียลมีเดียมีการแชร์โพสต์เรื่องการจัดฉีดวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) เป็นบูสเตอร์โดส (Booster Dose) เข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา โดยระบุข้อความว่า “กรณีวัคซีนไฟเซอร์พบว่าภรรยา ผอ.รพ. สามีหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม ได้สิทธิ์ฉีดวัคซีนทั้งที่ไม่ได้เป็นบุคลากรด่านหน้าอะไร คนใน รพ.ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะเป็นครอบครัวผู้บังคับบัญชา วัคซีนหล่นหายตามทางก็คนในนี้แหละ” ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวโลกออนไลน์พากันวิพากษ์วิจารณ์เป็นจำนวนมากนั้น
ล่าสุด นพ.นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครราชสีมา เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวตนได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยมี นพ.วิชาญ คิดเห็น รอง สสจ.นครราชสีมา เป็นหัวหน้าชุด ซึ่งให้รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงภายในวันพฤหัสบดีที่ 19 ส.ค.นี้ โดยประเด็นในการสอบครั้งนี้จะต้องดูว่าทั้ง 2 คนที่ถูกระบุได้รับวัคซีนไฟเซอร์นั้นปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้าเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 จริงหรือไม่ และอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ทางแพทยสภากำหนดให้ไว้หรือไม่ คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่ามีอะไรซับซ้อนเพราะความจริงปรากฏอยู่แล้ว
สำหรับจังหวัดนครราชสีมาได้รับการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ (Pfizer) ล็อตแรกเพื่อฉีดเป็นบูสเตอร์โดสเข็ม 3 ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขมาประมาณ 60-70% ของจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอยู่ประมาณ 18,000 คน หรือได้รับมาประมาณ 15,000 โดส ขณะนี้ดำเนินการฉีดไปแล้วประมาณ 14,000 โดส เหลืออีกประมาณ 1,000 โดส คาดว่าจะฉีดเสร็จภายใน 1-2 วันนี้ โดยล็อตแรกนี้เราจะจัดสรรให้บุคลากรด่านหน้าที่ทำงานเสี่ยงทั้งของรัฐและเอกชน รวมถึงหมอตามคลินิก ตามหลักเกณฑ์ที่แพทยสภากำหนด ส่วนล็อตที่ 2 ซึ่งจะมาในอีก 2-3 วันนี้ประมาณ 5,000 โดส จะฉีดให้บุคลากรที่ตกหล่นจากล็อตแรก และจะฉีดให้ภาคประชาชนและวิชาชีพ รวมถึงนักเรียนต่างประเทศ เกษตรกร รวมถึงทันตแพทย์ด้วย
นพ.นรินทร์รัชต์กล่าวอีกว่า กรณีปัญหาที่เกิดขึ้น เบื้องต้นได้สอบถาม นพ.แชมป์ สุทธิศรีศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ แล้ว ทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลยืนยันว่าบุคลากรในโรงพยาบาลที่ทำงานด่านหน้าได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบทั้งหมดแล้ว และกรณีที่เป็นข่าวก็ยืนยันว่าเข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด อย่างไรก็ตามต้องรอผลการสอบของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนจึงจะลงความเห็นได้ หากพบว่ามีการฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาก็มีความผิดทางวินัย ซึ่งมีบทลงโทษตามระเบียบอยู่แล้ว
ด้าน นพ.แชมป์ สุทธิศรีศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลฯ ได้ส่งรายชื่อผู้ที่ประสงค์จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 138 คน โดยแบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ จำนวน 135 คน และบุคลากรทางการแพทย์ในคลินิกเอกชน จำนวน 3 คน ในจำนวนนี้มีเภสัชกรในร้านขายยาเอกชนที่เป็นสามีของหัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค และภรรยาของตนเองที่ทำงานอยู่ในคลินิกเอกชนรวมอยู่ด้วย ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาพิจารณาเพื่อจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์มาให้ และได้รับการจัดสรรวัคซีนมาจำนวน 144 โดส ซึ่งเป็นการให้มาเกิน 6 โดสจากจำนวนที่เสนอชื่อไป
ดังนั้นทางโรงพยาบาลฯ จึงได้นำวัคซีนที่เกินไปฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลฯ ที่กำลังตั้งท้องจำนวน 2 ราย บุคลากรที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใดๆ เลยอีกจำนวน 3 ราย และบุคลากรที่จองวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่ 3 แต่ยังไม่ได้ฉีดอีก 1 ราย เนื่องจากต้องไปดูแลใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด-19 จึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันไว้ก่อน
ยืนยันว่าได้ทำการสำรวจบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าตามเกณฑ์ที่ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมากำหนดทุกประการ และได้รับการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์มาให้ตามที่เสนอชื่อไปทุกราย ส่วนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรเกินมาก็พิจารณาฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าตามความเหมาะสมทุกราย จึงไม่ได้ไปเบียดเบียนวัคซีนของบุคลากรทางการแพทย์คนอื่นเลย
“ทั้งนี้ บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลมีอยู่ทั้งหมด 185 คน ซึ่งได้ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มไปเกือบทุกคนแล้ว เหลือเพียง 5 คนที่รอฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มในวันที่ 20 สิงหาคม 2564 นี้ ขณะเดียวกัน ทางโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติก็มีผู้ป่วยโควิด-19 อยู่ในความดูแลกว่า 30 คน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย และเสี่ยงอันตรายมาก จึงอยากให้กำลังใจทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ และวอนสังคมอย่านำเรื่องเท็จมาโจมตีกันจนเสียขวัญกำลังใจในช่วงสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้” นพ.แชมป์กล่าวในตอนท้าย