ศูนย์ข่าวศรีราชา - รอง ผบช.ภ.2 ประกาศกร้าวให้เวลา 3 วันตามจับ 5 คนร้ายอ้างตัวเป็นตำรวจภาค 2 รีดเงินนักพนันบ่อนวิ่ง อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง จำนวน 1.7 แสนบาท เผยหากเป็นตำรวจจริงเจอเอาผิดทั้งวินัย-อาญา
จากกรณีที่นักพนันป๊อกเด้ง หรือป๊อก 8 ป๊อก 9 ได้ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า ถูกชายฉกรรจ์ 5 คน อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดสำนักงานตำรวจภูธรภาค 2 บุกเข้าจับกุมภายในบ้านร้างไม่มีเลขที่ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.นิคมพัฒนา ระยอง ก่อนยึดโทรศัพท์มือถือเพื่อไม่ให้ถ่ายภาพและเรียกร้องเงิน จำนวน 300,000 บาท แลกกับการไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี
แต่นักพนันรวบรวมเงินได้เพียง 170,000 บาทมอบให้กลุ่มชายฉกรรจ์ก่อนที่ทั้งหมดจะรีบออกไป และหลังเกิดเหตุไม่ถึง 10 นาที จึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค 2 และตำรวจ สภ.นิคมพัฒนา นำโดย พ.ต.อ.บัญชา คล้ายน้อย ผกก.2 สส.ภ.2 นำกำลังบุกเข้าจับกุมนักพนันรวม 13 คน ซึ่งสร้างความงุนงงให้แก่กลุ่มนักพนันเป็นอย่างมากนั้น
วันนี้ (3 พ.ค.) พล.ต.ต.มานะ อินพิทักษ์ รอง ผบช.ภ.2 รักษาราชการแทน ผบก.ภ.จว.ระยอง ได้ลงพื้นที่ จ.ระยอง เพื่อติดตามความคืบหน้าเหตุคนร้ายสวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหลอกปล้นเงินนักพนันบ่อนวิ่งจนได้เงินสด จำนวน 170,000 บาท พร้อมเรียกพยานที่เห็นเหตุการณ์เข้าทำการสอบสวนเพิ่มเติม
ก่อนสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงและตามเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะใช้หลบหนี รวมทั้งให้ตรวจสอบข้อมูลรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิซิ ไทรทัน สีขาว หมายเลขทะเบียน 9831 ชัยภูมิ ซึ่งพยานที่เห็นเหตุการณ์อ้างว่าเป็นรถที่คนร้ายใช่ก่อเหตุและกำชับให้เร่งติดตามตัว 5 คนร้ายให้ได้ภายในเวลา 3 วัน
ขณะที่ พล.ต.ต.อิทธิพร โพธิ์ทอง รรท.ผบก.สส.ภ.2 เผยว่า จุดเกิดเหตุมีลักษณะคล้ายบ่อนวิ่ง โดยมี นาย ต. และ นาง จ. เจ้าพ่อและเจ้าแม่บ่อนเมืองระยองเป็นตัวการใหญ่ และที่ผ่านมา เคยถูกจับกุมในพื้นที่ สภ.บ้านฉาง จ.ระยอง เมื่อ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา
โดยขณะนี้หน้าที่ตำรวจสืบสวนภาค 2 และสืบสวนพื้นที่รับผิดชอบได้เร่งหาเบาะแสคนร้ายซึ่งหากสืบได้แน่ชัดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริงจะมีการดำเนินคดีอาญาและลงโทษทางวินัย
ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมพัฒนา ที่ปล่อยปละละเลยให้มีบ่อนการพนันในพื้นที่จากการสอบถามเบื้องต้นพบว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการปล่อยให้เปิดบ่อนแต่อย่างใด เนื่องจากบ่อนวิ่งจะเปลี่ยนพื้นที่ไปเรื่อย และส่วนใหญ่มักจะเลือกสถานที่รกร้าง หรือบ้านร้าง จึงทำให้ยากต่อการสืบสวนหาข้อมูลของตำรวจ จึงถือว่าไม่ใช่การบกพร่องในหน้าที่