เชียงใหม่ - กองทัพภาคที่ 3 ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและจังหวัดเชียงใหม่เตรียมเสริมกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมยุทโธปกรณ์ทางการแพทย์ช่วยดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในเรือนจำกลางเชียงใหม่
วันนี้ (29 เม.ย. 64) ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษาจังหวัดเชียงใหม่ พลตรี ถนัดพล โกศัยเสวี รองแม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมด้วย พลตรี วุฒิไชย อิศระ รองเจ้ากรมการแพทย์ทหารบก รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, นายแพทย์ ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข, นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมประสานการปฏิบัติและการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โรคโควิด-19 ในพื้นที่เรือนจำกลางเชียงใหม่หลังพบว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
โดยกองทัพภาคที่ 3 เตรียมเสริมกำลังทั้งเจ้าหน้าที่และยุทโธปกรณ์ทางการแพทย์เข้ามาช่วยดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ในเรือนจำกลางเชียงใหม่ โดยให้กองพลทหารราบที่ 7 เป็นหน่วยสนับสนุนหลักมีหน้าที่ในการดำเนินการและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ขณะที่มณฑลทหารบกที่ 33 จะสนับสนุนแพทย์พยาบาลจากโรงพยาบาลค่ายกาวิละช่วยดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนามเรือนจำกลาง พร้อมทั้งจัดกำลังพลและเจ้าหน้าที่สารวัตรทหารช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามที่ได้ร้องขอ
ทั้งนี้ รองแม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่าจะมีการเตรียมพื้นที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนค่ายนเรศวรมหาราช อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ สำรองไว้หากกรณีต้องขยายพื้นที่โรงพยาบาลสนามต่อไป โดยจะมีการระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วน บุคลากรสายแพทย์ที่มีกำลังพลอยู่จำนวนหนึ่ง รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือของกองทัพบกมาสนับสนุนจังหวัดเชียงใหม่อย่างเต็มที่เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระแพทย์พยาบาลให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
ด้านผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ที่ผ่านมาแม้จังหวัดเชียงใหม่จะมีผู้ป่วยมากเป็นอันดับที่สองของประเทศ แต่สามารถจัดการเชิงระบบได้ดีตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา จนจำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะนี้เกิดสถานการณ์ในเรือนจำกลางเชียงใหม่ที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งกระบวนการจัดการในเรือนจำค่อนข้างมีความยากลำบาก แต่กระทรวงสาธารณสุขมีประสบการณ์อยู่แล้ว โดยสถานการณ์ปัจจุบันผู้ป่วยในเรือนจำยังอยู่ในระดับสีเขียวคือไม่มีอาการ แต่ในอนาคตอาจจะมีผู้ป่วยสีเหลืองคือมีอาการปานกลาง และผู้ป่วยสีแดงคืออาการหนักตามมา
ในเบื้องต้นจะมีการดูแลรักษาอย่างเต็มที่ไม่ให้มีการเสียชีวิตในเรือนจำ โดยได้นำมาตรการ Bubble & Seal จะไม่นำคนไข้ออกสู่ภายนอก ยกเว้นคนไข้สีแดงที่มีอาการหนักมากที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักหรือไอซียู หรือห้องความดันลบ สำหรับจำนวนผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวน 189 ราย ทั้งหมดรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ และมีเจ้าหน้าที่เรือนจำ 2 ราย รักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามในจังหวัดเชียงใหม่ รวมมีผู้ป่วยคลัสเตอร์เรือนจำกลางเชียงใหม่แล้ว 191 ราย
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดในเรือนจำกลางเชียงใหม่นั้น พบว่าเกิดขึ้นในแดน 4 จากผู้ต้องขังรับใหม่ที่ถูกกักกันไว้ 14 วันก่อนเข้าสู่แดนหลัก และเกิดการระบาดไปยังผู้ต้องขังและผู้ช่วยเหลือในแดนอื่นๆ ผู้ต้องขังบางส่วนมีการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อในห้องกักกันที่เกิดการระบาดในระยะท้ายของการกัก ที่มีผลตรวจก่อนย้ายแดนเป็นลบเนื่องจากยังอยู่ในระยะฟักตัว จากนั้นถูกย้ายไปยังแดนอื่นๆ จึงทำให้เกิดการระบาดต่อในผู้ต้องขังร่วมห้อง รวมทั้งที่มีการทำกิจกรรมร่วมกันในช่วงเวลากลางวัน เช่น แดนการศึกษา ที่มีผู้ต้องขังกลุ่มหนึ่งจากแดน 5 และ 7 มาทำกิจกรรมด้วย
โดยการนำมาตรการ Bubble & Seal เข้ามาดูแลคือมาตรการคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า เพื่อจำกัดการเคลื่อนย้าย และจะแยกผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบางออกมาดูแลเฉพาะ เช่น ผู้ต้องขังที่มีอายุมากกว่า 55 ปี, ผู้ต้องขังที่มีโรคประจำตัว ผู้ต้องขังกลุ่มนี้ หากพบว่ามีอาการป่วย ไข้ ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ มีน้ำมูก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือดต่ำ 95 ก็จะคัดกรองมารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หากพบว่ามีการติดเชื้อโควิด-19 ก็จะถูกส่งตัวรักษาที่ รพ.สนามเรือนจำกลางเชียงใหม่ และหลังจากทำ Bubble and Seal ครบ 14 วัน ในวันที่ 7 พฤษภาคมจะมีการตรวจหาภูมิคุ้มกันให้ผู้ต้องขังอีกรอบเพื่อเป็นการประเมินสถานการณ์