ศูนย์ข่าวขอนแก่น - พนักงานสอบสวน สภ.แวงใหญ่ แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม “ไอ้ปิ๊ก” กักขังหน่วงเหนี่ยว
และเสพยาเสพติด หลังถูกแจ้งข้อหาข่มขืนไปแล้วก่อนนี้ ด้านผู้การจังหวัดย้ำพนักงานสอบสวนทุกโรงพักต้องสื่อสารกับประชาชนที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ชัดเจนจะได้ไม่มีปัญหาเหมือนกรณีแม่ผู้เสียหายก้มกราบป้ายโรงพักจนทำให้ตำรวจถูกด่าว่อนโซเชียลฯ
จากกรณีที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั้งบ้านทั้งเมือง ช่วงเย็นวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ภาพเหตุการณ์นางยุวรีย์ งานหมั่น นั่งกราบป้ายสถานีตำรวจภูธรชนบท อ.ชนบท จ.ขอนแก่น เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกสาวและครอบครัว หลังลูกสาววัย 27 ปี ที่มีอาการป่วยทางจิตเวช ถูกนายปิ๊ก หรือนายอเนก โคตรดา อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 ม.8 บ้านหนองสะแบง ต.ห้วยแก อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ลวงออกจากบ้านไปที่บ้านพักและอยู่ด้วยกันทั้งคืน
กระทั่งเช้าวันที่ 14 มี.ค. มารดาและญาติพี่น้องตามพบที่บ้านนายปิ๊ก สอบถามจนได้ทราบความจริงว่าทั้งคู่มีเพศสัมพันธ์กัน มารดาและญาติพี่น้องจึงรับตัวลูกสาวกลับบ้านและพาเข้าแจ้งความที่ สภ.แวงใหญ่ และได้เข้าแจ้งความที่ สภ.ชนบท ภายหลังได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลแวงใหญ่ สถานพยาบาลที่ตรวจร่างกายผู้เสียหาย แต่ทางร้อยเวรไม่รับแจ้งความ เพราะจะซ้ำซ้อนที่ได้แจ้งความไว้แล้วที่ สภ.แวงใหญ่ ทำให้มารดาและญาติไม่พอใจ จึงนำไปสู่การกราบป้ายโรงพักตามที่เสนอข่าวไปก่อนนี้
ล่าสุด พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า พนักงานสอบสวน สภ.แวงใหญ่ได้ออกหมายเรียกให้นายอเนกหรือนายปิ๊ก เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนในวันนี้ (15 มี.ค.) ส่วนผู้เสียหายได้นำตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลชนบท เพื่อให้แพทย์ออกใบรับรองผลการตรวจมาประกอบคดี
สำหรับคดีความก่อนหน้านี้ได้พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา พาผู้อื่นไปในการอนาจาร, ข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งไม่ไม่ภรรยาของตนเอง ในวันนี้พนักงานสอบสวนได้แจ้งกล่าวเพิ่มอีก 2 ข้อกล่าวหา คือ กักขังหน่วงเหนี่ยว และเสพยาเสพติด หลังจากตรวจร่างกายพบสารเสพติดในร่างกายของนายปิ๊ก ซึ่งได้นำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพลแล้ว
ในส่วนของ สภ.ชนบท ทางตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ให้ติดตามผลตรวจร่างกายของผู้เสียหายแล้วให้ประสานกับ สภ.แวงใหญ่ เพื่อที่จะนำผลการตรวจ มาใช้เป็นหลักฐานประกอบในการดำเนินคดีต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกรณีคาบเกี่ยวระหว่างพื้นที่ ต่อไปจะได้กำชับกวดขันพนักงานสอบสวนให้สื่อสารอธิบายความแก่ผู้ที่มาใช้บริการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ชัดเจน ป้องกันการเข้าใจผิดต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ