นครพนม - “น้องขวัญ” วัย 36 ปี ลูกสาวรองประธานสภาผู้แทนฯ ล้มช้างสำเร็จ คะแนนทิ้งห่างแชมป์เก่าคนของพรรคเพื่อไทยที่นั่งเก้าอี้ 2 สมัยซ้อนกว่า 50,000 แต้ม ตอกย้ำบารมี “ครูแก้ว” ยังขลังในพื้นที่ ที่สำคัญพิสูจน์ให้เห็นกระแสเพื่อไทยถึงคราวขาลงและดับฝัน “ธนาธร และพวก”
ผู้สื่อข่าวรายงานผลนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ สนามเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครพนม ล่าสุด ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม ลำดับที่ 1 น.ส.ศุภพานี โพธิ์สุ หรือน้องขวัญ กลุ่มนครพนมร่วมใจ ลูกสาวของนายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้คะแนน 161,962 คะแนน ทิ้งห่างแชมป์เก่า ลำดับที่ 2 นายสมชอบ นิติพจน์ ทีมพลังเพื่อไทย เพื่อนครพนม ได้คะแนน 110,580 คะแนน ลำดับที่ 3 นายณพจน์ศกร ทรัพสิทธิ์ คณะก้าวหน้านครพนม ได้คะแนน 49,983 คะแนน จากจำนวนผู้มาใช้สิทธิจำนวน 349,218 คะแนน บัตรเสีย 12,525 คะแนน บัตรไม่เลือกผู้สมัคร 7,755 คะแนน
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้เหนือความคาดหมายของนักสังเกตการณ์ทางการเมืองท้องถิ่นเป็นอย่างมาก เนื่องจาก น.ส.ศุภพานี อายุ 36 ปี ที่ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ลงการเมืองท้องถิ่นเป็นครั้งแรก กลับฝ่ากระแสความนิยมของพรรคเพื่อไทย ที่สำคัญฝ่ากระแสต้านการเป็นฝ่ายร่วมรัฐบาลของผู้เป็นพ่ออย่างนายศุภชัย ที่เป็น ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทยไปด้วย
ครูแก้ว เป็น ส.ส.นครพนม เพียงคนเดียวของพรรคภูมิใจไทย ที่ชนะการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 1 จากทั้งหมด 4 เขต ที่เหลืออีก 3 เขต เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงบารมีครูแก้ว ที่ยังเป็นที่ศรัทธาของชาวนครพนมมากโข และอีกด้านหนึ่งได้แรงหนุนจากฐานคะแนนของ 2 อดีต ส.ส.นครพนม นั่งรองนายก ถึง 2 คน คือ นพ.อลงกต มณีกาศ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน และนายชูกัน กุลวงษา อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 4 นครพนม ที่ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ แต่สอบตกในการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา ทำให้ยังมีคะแนนนิยมมาช่วยได้มากพอสมควร ไม่นับรวมกับแรงหนุน จากนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 3 นครพนม ที่หักดิบกับต้นสังกัดหันมาเชียร์ลูกสาวครูแก้ว เพราะเห็นต่างอยากได้นายก อบจ.คนรุ่นใหม่มาพัฒนาท้องถิ่น
ปรากฏการณ์ล้มช้างของลูกสาวครูแก้ว น.ส.ศุภพานี หรือน้องขวัญในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าความเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง ด้วยวัยเพียง 36 ปี ตอบโจทย์ของประชาชนที่ต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เพราะอดีตแชมป์เก่า นั่งเก้าอี้นายก อบจ.มาถึง 2 สมัยแล้ว แต่ไม่ได้ทำให้การพัฒนาท้องถิ่นมีความก้าวหน้าอย่างมันควรจะเป็นไป และเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า กระแสพรรคเพื่อไทยถึงคราวขาลงจริงๆ ขายไม่ง่ายเหมือนในอดีต!