เชียงราย - ไม่ได้มีแค่คนไทยตกค้างท่าขี้เหล็ก-รัฐฉานหนีโควิดฯ กลับไทยเท่านั้น..พบคนถือบัตรหัวศูนย์หาทางข้ามฝั่งเข้าไทยอีกเพียบ
วันนี้ (16 ธ.ค.) เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมโรค (ศปก.) ที่ประจำการ ณ ด่านพรมแดนไทย-เมียนมา สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย ยังคงเฝ้าติดตามการกลับมาของคนไทยที่แจ้งขอเดินทางกลับมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 และนำเข้าสู่สถานกักดูอาการ หรือ State quarantine
หลังจาก 14 ธ.ค.ที่ผ่านมามีคนไทยตกค้างเดินทางกลับมาเพียง 7 ราย จากจำนวนผู้แจ้งความประสงค์ขอกลับมารวม 19 คน โดยมีรายงานว่ากลุ่มคนที่ยังไม่สามารถกลับได้เป็นกลุ่มที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทางเจ้าหน้าที่เมียนมาได้ส่งตัวขึ้นศาลท่าขี้เหล็กเพื่อทำการเปรียบเทียบปรับรายละประมาณ 2,300 บาท ก่อนที่จะส่งข้ามด่านฯ กลับไทยในวันนี้แทน
อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้มีสัญชาติไทยจะพากันเดินทางกลับมาแล้ว ยังมีผู้ที่ถือบัตรประจำตัวประชาชนไม่มีสถานะทางทะเบียนหรือบัตรหัวศูนย์ บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ฯลฯ ซึ่งออกโดยฝ่ายปกครองของราชการไทย ก็พยายามหาทางข้ามฝั่งเข้าไทยด้วย
"คนเหล่านี้ถือบัตรของทั้ง 2 ประเทศ คือ ไทย และเมียนมา รวมทั้งอาศัยและทำงานอยู่ทั้งสองฝั่งเช่นกัน บางคนมีบ้านเรือนอยู่ในฝั่ง อ.แม่สาย แต่ไปทำงานในท่าขี้เหล็ก เมื่อเกิดปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 และมีการปิดพรมแดนจึงตกค้างอยู่ในฝั่งประเทศเมียนมา แต่เนื่องจากไม่ได้มีสัญชาติไทยเต็ม 100% และหลายคนก็ถือบัตรประจำตัวประชาชนสัญชาติเมียนมาด้วยจึงทำให้ไม่สามารถทำเรื่องข้ามกลับมายัง อ.แม่สายได้" แหล่งข่าวจาก จ.ท่าขี้เหล็กกล่าว
นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสกัดกั้นโรคไวรัสโควิด-19 กล่าวว่า การจะเดินทางข้ามจากประเทศเพื่อนบ้านมายังฝั่งไทยมีกระบวนการในประเทศเพื่อนบ้านและมีข้อกฎหมายระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากผ่านขั้นตอนนั้นมาจึงจะส่งตัวมาให้ไทยเพื่อเดินข้ามสะพานฯ มายังด่านพรมแดน อ.แม่สาย ซึ่งเราก็มีระเบียบในการตรวจรับตัวเช่นกัน ดังนั้น การเข้ามาของคนจึงมีการตรวจสอบและถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน
ทั้งนี้ ปัจจุบันเชียงรายได้เปิดศูนย์กักดูอาการ หรือ Local state quarantine จำนวน 10 จุด กระจายอยู่หลายอำเภอ และมีผู้ที่เดินทางเข้ามากักดูอาการรวม 269 ราย มีผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่วันที่ 29-14 ธ.ค. 2563 จำนวน 52 ราย รักษาจนหายป่วยและกลับบ้านได้แล้ว 11 ราย ยังรักษาอยู่ 41 ราย