สุรินทร์ - คุณป้าเมืองช้างตกใจ จู่ๆ มีหนังสือจาก ก.การคลังบอกให้คืนเงินเยียวยา 5,000 บาท 3 เดือน เหตุได้แจ้งสละสิทธิ์ คาดสาเหตุเกิดจากผู้ลงทะเบียนให้ไม่พอใจได้ส่วนแบ่งน้อยจึงชิงแจ้งสละสิทธิ์ วอนขอความเป็นธรรม เผยไม่มีเงินคืน ฐานะยากจนและสามีตกงาน
วันนี้ (13 ก.ค.) นางฮุม อสิพงษ์ อายุ 59 ปี บ้านเลขที่ 192 หมู่ที่ 1 บ้านตรำดม อ.ลำดวน จ.สุรินทร์ เล่าว่า ตนได้รับหนังสือจากสำนักนโยบายการคลัง ส่วนวางแผนการคลังและงบประมาณ เลขที่ กค1004/สนค./ว174/2563 แจ้งว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้มีมาตรการชดเชยรายได้แก่ลูกจ้างของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่นๆ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) หรือมาตรการเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน) และท่านได้แสดงความประสงค์สละสิทธิ์การได้รับเงินชดเชยตามมาตรการฯ นั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลังพิจารณาแล้วขอเรียนว่า เพื่อให้การดำเนินการสละสิทธิ์ดังกล่าวเป็นไปอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ขอให้ท่านดำเนินการคืนเงินชดเชยรายได้ที่ท่านได้รับไปแล้วทั้งหมดให้กระทรวงการคลัง ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ โดยสามารถคืนได้ตามช่องทางต่างๆ ที่หนังสือได้ระบุไว้
นางฮุมกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลว่า หลังจากที่ทางรัฐบาลได้ประกาศให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับการช่วยเหลือเยียวยาคนละ 5,000 บาท จำนวน 3 เดือน ตนและครอบครัวไม่สามารถลงทะเบียนได้เพราะไม่เคยมีความรู้ทางด้านนี้มาก่อน จึงได้ให้หลานสะใภ้คนข้างบ้านมาทำเรื่องลงทะเบียนให้ กระทั่งได้รับเงินเยียวยา จำนวน 5,000 บาท ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ได้จำนวน 10,000 บาท รวมเป็นจำนวนเงิน 15,000 บาท
ภายหลังจากที่ตนได้รับเงินแล้วตนได้ให้ลูกชายนำเงินไปจ่ายให้หลานสะใภ้ที่ช่วยลงทะเบียนจำนวน 1,000 บาท และวันหลังตนจ่ายให้อีก 400 บาท แต่หลานสะใภ้เขาไม่รับ คงไม่พอใจที่ให้เงินเขาน้อย ตนคิดว่าสาเหตุนี้อาจเป็นเหตุให้หลานสะใภ้ไปทำเรื่องสละสิทธิ์เงินเยียวยาจนกระทั่งมีหนังสือแจ้งมาให้ตนนำเงินไปชำระคืนให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ตนไม่สบายใจเลยปรึกษาญาติพี่น้องเพื่อหาเงินมาคืน ซึ่งเงินที่ตนเบิกมาได้ใช้จ่ายไปซื้ออาหารและข้าวสารไว้กินหมดแล้ว ครอบครัวตนฐานะยากจน ไม่มีที่นาที่ไร่ และสามีตกงานไม่มีงานทำ ตอนนี้มีเงินจุนเจือครอบครัวจากการทำงานรับจ้างวันละ 300 บาทเท่านั้น
ในขณะที่ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่บ้าน พบบรรดาญาติพี่น้องต่างมานั่งพูดคุยให้กำลังใจนางฮุม พร้อมกับวิงวอนฝากสื่อถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความเป็นธรรม ขณะที่หลานสะใภ้ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันและมีบ้านอยู่ไม่ไกลกันมากนักก็ได้ออกไปต่างพื้นที่หลังจากไม่รับเงิน 400 บาทจากนางฮุม