ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ฝุ่นควันและค่ามลพิษเชียงใหม่พุ่งเกินมาตรฐานต่อเนื่อง ล่าสุดหนักถึงขั้นทะยานขึ้นครองเบอร์ 1 ของโลก สวนทางการท่องเที่ยวที่ทรุดลงไม่หยุดจากพิษไวรัสโควิด-19
วันนี้ (29 ก.พ. 63) รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า สภาพตัวเมืองเชียงใหม่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันหนาทึบอย่างต่อเนื่องนานนับสัปดาห์แล้ว เช่นเดียวกับผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศที่สูงเกินค่ามาตรฐานจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการเผาโดยเฉพาะการเผาในพื้นที่ป่า ที่แม้ว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะพยายามเฝ้าระวังป้องกันและระดมกำลังเข้าดับไฟแล้ว แต่เป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากข้อจำกัดหลายอย่างทั้งด้านภูมิประเทศและการสกัดผู้ลักลอบเผา
ทั้งนี้ ช่วงเที่ยงวันนี้พบว่าจากรายงานข้อมูลจากเว็บไซต์ www.airvisual.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์วัดคุณภาพอากาศของทั่วโลก พบว่าจากการเปรียบเทียบดัชนีคุณภาพอากาศ หรือค่า US AQI จากหัวเมืองใหญ่จากประเทศต่างๆ ทั่วโลกพบว่าค่ามลพิษในอากาศของจังหวัดเชียงใหม่สูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ โดยเมื่อเวลา 12.00 น.พบดัชนีคุณภาพอากาศของเชียงใหม่วัดได้ 193 US AQI รองลงมาอันดับ 2 เป็นเมือง Mumbai ประเทศอินเดีย วัดได้ 192 US AQI ขณะที่กรุงเทพฯ วัดได้ 113 US AQI
ส่วนรายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจังหวัดเชียงใหม่จากสถานีตรวจวัดของกรมควบคุมมลพิษ ในตำบลช้างเผือก ตำบลศรีภูมิ และตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เฉลี่ยในรอบ 24 ชั่วโมง ณ เวลา 09.00 น. วันนี้อยู่ที่ 111 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร, 62 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร และ 61 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ เกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ส่วนค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ที่ 221, 129 และ 126 ตามลำดับ ซึ่งระดับคุณภาพอากาศถือว่าอยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพแล้ว
ขณะเดียวกัน รายงานข่าวแจ้งว่า ช่วงนี้บรรยากาศการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ค่อนข้างซบเซา เนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เป็นตลาดหลักของเชียงใหม่หดหายไปแทบจะ 100% ซึ่งท่ามกลางสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ทรุดหนักพบว่าปัญหามลพิษอากาศของจังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นปัญหาเรื้อรังทุกปีเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น เห็นได้จากค่าฝุ่น PM 2.5 และดัชนีคุณภาพอากาศที่พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่องแทบจะทุกวัน ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยซ้ำเติมบรรยากาศการท่องเที่ยวให้ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก