ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - เปิดใจ! เหล่าประชาชนฮีโร่ ทำดีเสียสละช่วยเหลือ ปชช.และผู้บาดเจ็บเหตุกราดยิงโคราช ยกย่องหัวใจจิตอาสาเข้าช่วยเหลือแบบไม่คิดชีวิต ทางจังหวัดฯ จัดงานขอบคุณคนดีของสังคมด้วยหัวใจพร้อมมอบประกาศเกียรติคุณ ค่ำวันนี้
วันนี้ (21 ก.พ.) นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ช่วงค่ำวันนี้ทางจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐเอกชนในจังหวัดนครราชสีมา กำหนด “จัดงานขอบคุณคนดีของสังคมด้วยหัวใจ” และมอบใบประกาศเกียรติคุณเพื่อเชิดชูคุณงามความดีให้แก่บุคคลที่เสียสละในการเข้าไปช่วยเหลือประชาชนและผู้ได้รับบาดเจ็บในช่วงเหตุการณ์กราดยิงวันที่ 8-9 ก.พ. 2563 ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทั้งบริเวณวัดป่าศรัทรวม ต.หัวทะเล อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา และภายในศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช ซึ่งงานนี้มีการเชิญทุกฝ่ายที่มีส่วนแก้ไขสถานการณ์ เช่น ทหาร ตำรวจ มูลนิธิกู้ภัยฮุก 31 เจ้าหน้าที่กู้ชีพ กู้ภัย, มูลนิธิสว่างเมตตาธรรมสถาน, จักรยานยนต์รับจ้างส่งอาหาร, จักรยานยนต์รับจ้างส่งผู้โดยสาร และพี่น้องประชาชนที่แจ้งเหตุต่างๆ รวมประมาณกว่า 700 คน เข้าร่วมงาน
เหตุกราดยิงในช่วงวันที่ 8-9 ก.พ.ที่ผ่านมา นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วยังมีพี่น้องประชาชนที่ทำความดีอีกจำนวนมากที่มีส่วนช่วยเหลือทางราชการ ทั้งในรูปแบบการช่วยโดยตรงที่เสี่ยงชีวิตในที่เกิดเหตุ หรือช่วยสนับสนุนในการแก้ปัญหา ซึ่งทางจังหวัดฯ และทางราชการไม่ลืมคนเหล่านั้น โดยกำหนดจัดงานเลี้ยงขอบคุณท่านเหล่านี้ในช่วงเวลา 17.00 น. วันนี้ (21 ก.พ.) ที่บริเวณ ชั้น G ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช โดยได้รับความสนับสนุนจากนางปพิชญา ณ นครพนม ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช และพนักงานในการต้อนรับ และงานนี้จะทำการมอบใบประกาศเกียรติคุณแก่บุคคลเหล่านี้ด้วย เพื่อเป็นการขอบคุณแทนครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และขอบคุณแทนทางราชการที่บุคคลเหล่านี้ได้มีส่วนในการช่วยเหลือทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
นางอภิรนุช สุดนธวิทย์ หรือ “เอื้อย” อายุ 50 ปี อาสาสมัครกู้ภัยสว่างเมตตา เล่านาทีช่วยผู้บริสุทธิ์จากเหตุกราดยิงว่า ในวันที่ 8 ก.พ. ตนนั่งอยู่บ้านหน้าโรงเรียนบุญวัฒนา ฟังวิทยุสื่อสารแจ้งเหตุยิงกันมีผู้บาดเจ็บ 3 ราย จึงรีบขี่จักรยานยนต์คู่ใจไปดูและช่วยกั้นรถทุกคันเพื่อให้ประชาชนที่ไม่รู้เรื่องออกไปใช้เส้นทางอื่น ตอนนั้นเรามี 4 คน อาสากู้ภัย 2 คน อาสาตำรวจบ้าน 1 คน ทหารอีก 1 นาย และได้รับแจ้งอีกว่ามีผู้บาดเจ็บ 3 รายเป็นตำรวจ และคนส่งอาหารของแกร็บ จึงพยายามให้รถพยาบาลกู้ภัยเข้าไปรับผู้บาดเจ็บ โดย 1 คนที่เป็นพนักงานของแกร็บอยู่ตรงเสาไฟฟ้า แต่ผู้ก่อเหตุยังยิงปืนออกมาต่อเนื่อง ตำรวจที่ปิดล้อมก็ยิงสวนเข้าไป พอเสียงปืนสงบคนก่อเหตุขับรถออกจากวัดป่าศรัทธารวมไป เราจึงเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ 2 ราย โดย 1 รายเป็นเด็กนักเรียน โรงเรียนบุญวัฒนา ที่มากับแม่ และอีก 1 รายมากับครอบครัว ผู้เป็นภรรยารอดชีวิตจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล
“ตอนนั้นไม่กลัวอะไร แต่เราก็ต้องคอยหลบวิถีกระสุนด้วย คิดอย่างเดียวว่าอยากให้คนเจ็บรอด ไม่อยากให้เสียชีวิต และช่วยเต็มที่” นางอภิรนุชกล่าว
ขณะที่ นายเฉลิมศักดิ์ สุนิธยาภรณ์ อายุ 30 ปี เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลหัวทะเล เล่านาทีระทึกว่า ขณะคนร้ายกราดยิง ตนอยู่ในสุสานตรงข้ามประตูหลังวัดป่าศรัทธารวม ได้ยิงเสียงรถชนประตูจึงกระโดดข้ามรั้วมายืนกันรถประชาชนบริเวณสามแยกไม่ให้เข้าไปในจุดที่มีการยิงกัน ในวันนั้นเป็นวันมาฆบูชา ประตูหลังวัดเปิด ตนเห็นทหารคลั่งกราดยิงกระสุนจากในวัดออกมาข้างนอก และตนพยายามวิ่งหลบกระสุนที่ปลิวว่อนไปหมด ตอนนั้นไม่กลัวอะไรแล้ว แต่ขอให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ในเหตุการณ์รอดปลอดภัยเป็นพอ แต่ช่วยมาได้แค่ 2 คน นอกนั้นทั้งตำรวจ และตำรวจบ้าน และประชาชนภายในวัด 9 รายเสียชีวิตหมด
ด้านนายวัชระ ผุดกระโทก อายุ 25 ปี ผู้ช่วยนักกายภาพบำบัด โรงพยาบาล ป.แพทย์ เล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ช่วงประมาณ 16.00 น.วันที่ 8 ก.พ. ตนกำลังทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล ป.แพทย์ ลงเวรเสร็จขับรถกลับห้องพักได้รับแจ้งเหตุว่ามีเหตุยิงกันที่หลังวัดและในวัดป่าศรัทธารวม จึงตัดสินใจรีบไปช่วยเหลือ พอถึงที่เกิดเหตุผู้ก่อเหตุยังกราดยิงออกอย่างต่อเนื่องอยู่บริเวณด้านหลังวัดป่าศรัทธารวม ใกล้ประตูเข้าวัดด้านหลัง ตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกันพื้นที่ไว้จนกระทั่งเสียงปืนสงบ ไม่นานก็เข้าเคลียร์พื้นที่จนปลอดภัยพร้อมให้แพทย์ พยาบาลเข้าไปช่วย ตนจึงรีบเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ คือคนส่งอาหารของแกร็บถูกยิงอยู่ข้างกำแพงวัด เข้าไปตรวจพบว่าไม่มีชีพจร และไม่หายใจ จึงรีบทำ CPR ปั๊มหัวใจรอรถพยาบาลกู้ชีพมารับ และรีบนำส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา จากนั้นตนไม่รีรอเข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บในวัดป่าศรัทธารวม พบว่าแต่ละคนไม่มีชีพจรแล้ว ระหว่างนั้นคนร้ายรัวยิงออกมาอีก โดยตอนนั้นมีตำรวจ 2 นายวิ่งไปคอยคุ้มกันให้ตนทำ CPR มาถึงตอนนั้นบอกได้เลยว่าเรื่องกลัวลืมหมด มันเป็นสัญชาตญาณ ซึ่งตนทำงานกู้ภัยด้วยและทำงานโรงพยาบาล ป.แพทย์ด้วย คิดอย่างเดียวคือคนเจ็บต้องรอด สุดท้ายช่วยมาได้แค่ 1 คน คือพนักงานของแกร็บ ที่เหลือเสียชีวิตหมด