บุรีรัมย์ - ตำรวจ สภ.สตึก บุรีรัมย์ บุกจับไอ้หื่นอ้างตัวเป็นตำรวจทำทีขอตรวจใบขับขี่และยาเสพติด นักเรียนสาวขับ จยย.ตามลำพัง ก่อนบังคับข่มขืนกระทำชำเราตอนกลางวันแสกๆ วันเดียว 2 รายซ้อน สารภาพก่อเหตุจริง พบประวัติโชกโชนเคยถูกจับมาแล้ว 2 ครั้ง
วันนี้ (4 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีชายอายุประมาณ 45-50 ปี รูปร่างสันทัด ผิวดำแดง สูงประมาณ 170-180 เซนติเมตร (ซม.) แต่งกายภูมิฐาน โดยสวมเสื้อแขนสั้นสีขาวข้างใน สวมเสื้อแจ็กเกตสีดำคลุมทับ และใส่กางเกงขายาวสีดำ ขับรถเก๋งสีน้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขับปาดหน้าจักรยานยนต์ของนักศึกษาอาชีวแห่งหนึ่ง อายุ 16 ปี ขณะขี่จักรยานยนต์จะกลับบ้านแล้วอ้างตัวเป็นตำรวจ ทำทีขอตรวจใบขับขี่และตรวจค้นยาเสพติด ก่อนจะบังคับเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราในโกดังร้างบ้านตลาด ต.นิคม อ.สตึก เวลาประมาณ 11.00 น.วันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา
จากนั้นได้ไปก่อเหตุในลักษณะเดียวกันกับนักเรียนหญิงชั้น ม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่งในท้องที่ ต.ดงพลอง อ.แคนดง พื้นที่ใกล้เคียงกัน พฤติกรรมการก่อเหตุคล้ายกัน แต่รายหลังยังไม่ได้ถูกข่มขืน เพียงแค่ลวนลามโดยการใช้มือจับหน้าอกเท่านั้น ซึ่งวันเดียวชายคนดังกล่าวก่อเหตุถึง 2 รายซ้อน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.สัมภาษณ์ ศรีจันทึก ผู้กำกับการ (ผกก.) สภ.สตึก ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.สามารถ หมายสม สารวัตรสืบสวนสอบสวน สภ.สตึก นำกำลังชุดสืบออกติดตามไล่ล่าคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วเพราะถือเป็นบุคคลอันตรายเป็นภัยต่อสังคม จากการแกะรอยภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คนร้ายก่อเหตุก็ทำให้ทราบเบาะแสของคนร้ายรายนี้
ล่าสุด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.สตึก ได้นำหมายศาลจังหวัดบุรีรัมย์เข้าจับกุมตัว นายสฐาน อ่อนดีกุล อายุ 54 ปี ผู้ต้องหา ได้ที่บ้านเลขที่ 67 หมู่ 1 ต.สระบัว อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด ได้พร้อมของกลางรถเก๋งยี่ห้อ โตโยต้า โคโรลล่า สีน้ำเงิน ที่ใช้ประกอบเหตุ พร้อมแผ่นป้ายทะเบียน ขษ 839 เชียงใหม่ ที่ซ่อนไว้ในรถ และเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุด้วย
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การยอมรับว่าได้ก่อเหตุจริง และจากการสอบประวัติพบว่าเคยก่อเหตุและถูกจับกุมในท้องที่ สภ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม มาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาสอบสวนที่ สภ.สตึก และเตรียมแถลงข่าวในช่วงสายวันนี้ เบื้องต้นได้แจ้งข้อหากระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้