ศูนย์ข่าวภูมิภาค - ผวาฝันร้าย 3 ทศวรรษซ้ำรอยถมทะเลมาบตาพุด ชาวประมง นักวิชาการพาเหรดต้านถมทะเลแหลมฉบังสนองทุนต่างชาติ “ศรีสุวรรณ จรรยา” ฟันธงผิด พ.ร.บ.-ขัด รธน. แถมชักศึกเข้าบ้านกระทบความมั่นคง
30 ปีแล้ว วิถีชาวประมงพื้นบ้าน จ.ระยอง ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลังมีการก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟสแรก เมื่อปี 2532 และการถมทะเลมาบตาพุด ที่ส่งผลใหญ่หลวงต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาด เริ่มรุนแรงขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2540
ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด เริ่มมีการถมทะเลสร้างนิคมอุตสาหกรรม ท่าเทียบเรือ รวมทั้งการขุดลอกร่องน้ำ ซึ่งโครงการดังกล่าวล้วนมีผลก่อเกิดการกัดเซาะชายฝั่งทะเลที่ชัดเจน โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลจังหวัดระยอง กว่า 20 กิโลเมตร ตั้งแต่บ้านเพ บ้านฉาง ถูกน้ำทะเลกัดเซาะเสียหายตลอดชายหาด
ขณะที่การแก้ไขปัญหาของภาครัฐในขณะนั้นมีการทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อสร้างเขื่อนกันคลื่น กลับเป็นการบดบังทัศนียภาพของหาดทรายที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม โดยเฉพาะหาดแสงจันทร์ จุดขายด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดระยอง แต่ในปัจจุบัน “หาดแสงจันทร์” มีเพียงก้อนหินที่นำมาเรียงต่อ กัน ไม่หลงเหลือความสวยงามดังกล่าวแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมชายฝั่งทะเลที่ในอดีตชาวบ้านเคยประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว
และล่าสุด การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กำลังจะก่อสร้างท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 พื้นที่ 1,000 ไร่ ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการคัดเลือกเอกชนร่วมทุนก่อสร้าง ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ก็สั่งการนิคมฯ ศึกษาการถมทะเลแหลมฉบัง อีก 3,000 ไร่ รองรับการขยายการลงทุนของกลุ่มบริษัท เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น
ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า หลังจากนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ได้ออกมาเปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น ยื่นข้อเสนอที่จะลงทุนเพื่อก่อสร้างท่าเรือ- รงงานปิโตรเคมีมูลค่า 3.3 แสนล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่าภาครัฐจะต้องจัดหาพื้นที่ให้ได้ในรัศมี 5 กม. จากโรงกลั่นเอสโซ่แหลมฉบัง โดย กนอ.มีแผนที่จะถมทะเลในพื้นที่แหลมฉบัง เพื่อรองรับ 1-3 พันไร่ให้
เพื่อประกอบการท่าเรือ โรงงานปิโตรเคมีซึ่งเป็นเพียงอุตสาหกรรมผลิตเม็ดพลาสติกในอุตสาหกรรมต้นน้ำไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ ตามนโยบายของ EEC ที่ต้องการให้เกิดอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการสร้างนวัตกรรม หรือการถ่ายทอดเทคโนโลยี จึงขัดหรือแย้งต่อ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 โดยตรง
ทั้งนี้ การถมทะเลดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งผลกระทบต่อวิถีการประมงพื้นบ้านและการท่องเที่ยวของชุมชนในบริเวณทะเลแหลมฉบัง อ่าวอุดม เกาะสีชัง อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
“สังคมไทยมีบทเรียนที่เจ็บปวดในการถมทะเลที่มาบตาพุดมาแล้ว และอาจส่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติตามมาอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลจะต้องศึกษาใคร่ครวญให้ดี มิฉะนั้นอาจกลับกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้านที่อันตรายที่สุด”
นอกจากนั้น การถมทะเลเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทต่างชาติอาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิการจัดการ บำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนตามกฎหมายไทยได้ อันเป็นการขัดต่อ ม.43(2) ประกอบ ม.50(2) (8) โดยชัดแจ้ง นอกจากนั้น ยังถือว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยหน้าที่ของรัฐ ตาม ม.52 ม.53 ม.57 และ ม.58 ของรัฐธรรมนูญ 2560 อีกด้วย
ซึ่งหากรัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรม ยังคงเดินหน้าผลักดันการถมทะเลเพื่อตอบสนองทุนจากต่างชาติดังกล่าว ประชาชนคนไทยทุกคนก็สามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ 2560 ม.41(3) ในการฟ้องร้องต่อศาล เพื่อระงับการใช้อำนาจดังกล่าวได้ทันที ดังนั้น รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมควรล้มเลิกการกระทำที่เสี่ยงต่อความมั่นคงและการสร้างผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าวเสีย ไม่เช่นนั้นคงต้องไปจบลงที่ศาลแน่นอน
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ สภาพพื้นที่ภูมิศาสตร์ชายฝั่งของแต่ละพื้นที่แตกต่างกัน ดังนั้น วิธีการแก้ไขปัญหาของแต่ละพื้นที่จึงต้องแตกต่างกันไปด้วย เมื่อผู้รับผิดชอบขาดความรู้ ความเข้าใจถึงสภาพการณ์ แล้วนำแบบอย่างการแก้ไขปัญหาของต่างพื้นที่เข้ามา จึงทำให้การแก้ไขปัญหาไม่มีประสิทธิผล อีกทั้งยังจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอย่างมากมาย
ขณะที่ชาวประมงแหลมฉบัง-บางละมุง ตลอดจนนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ก็พาเหรดกันออกมาคัดค้านโครงการนี้กันอย่างพร้อมหน้า เพราะหวาดผวากับการถมทะเลมาบตาพุด-อิสเทิร์นซีบอร์ด ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องตั้งแต่แรกเริ่มโครงการมาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ
ซึ่งไม่เพียงวิถีประมงชายฝั่งเท่านั้นที่เสี่ยงล่มสลาย ซ้ำรอยบ้านเพ-บ้านฉาง จ.ระยอง แม้แต่แหล่งท่องเที่ยวดังระดับโลกอย่างพัทยา นาจอมเทียน เกาะสีชัง รวมไปถึงพื้นที่ชายฝั่งบางละมุง นาเกลือก็จะได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่พ้น
โดยเฉพาะ “พัทยา” ที่ทุกวันนี้ต้องเผชิญปัญหาจากโครงการก่อสร้างท่าเรือ ถมทะเล และการขุดลอกร่องน้ำ ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางการไหล เกิดการกัดเซาะ ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนไป จนหาดทรายพัทยาหดหายไป ต้องถมทะเลเพื่อเสริมชายหาดเป็นระยะๆ อยู่แล้ว


