ศูนย์ข่าวศรีราชา - ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ตัดสินจำคุก “อริสมันต์” พร้อมพวกล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา ส่วนใหญ่ไม่มารับฟังคำตัดสินอ้างไม่ได้รับหมาย เจ้าตัวอ้างป่วย มีเพียงจำเลยที่ 10 มาคนเดียว ไร้แม่ยกห้อมล้อม
ตามที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปช. ได้มีการล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อปี 2552 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีช รีสอร์ท เมืองพัทยา ก่อนอัยการศาลจังหวัดพัทยาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กับพวกในข้อหาร่วมกันขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงานที่ไม่ให้มีการชุมนุมเกินกว่า 10 คนขึ้นไป และผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจร พ.ศ. 2522
ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตัดสินจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุกนายอริสมันต์ กับพวก เป็นเวลา 4 ปี ไม่รอลงอาญา โดยจำเลยในคดีนี้มี 13 คน ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายนิสิต สินธุไพร นายพายัพ ปั้นเกตุ นายวรชัย เหมะ นายวันชนะ เกิดดี นายพิเชฐ สุขจินดาทอง นายศักดา นพสิทธิ์ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรรัตน์ นายนพพร นามเชียงใต้ นายสำเริง ประจำเรือ นายสมญศฆ์ พรมมา นพ.วัลลภ ยังตรง และนายสิงทอง บัวชุมนั้น
ล่าสุด วันนี้ (11 ก.ย.) ที่ศาลจังหวัดพัทยา ศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตแกนนำ นปช. กับพวกอีก 12 คน ที่บุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน โดยพบว่าในวันนี้มีเพียงนายศักดา นพสิทธิ์ เลขาธิการพรรคเพื่อชาติ เพียงคนเดียวที่มาฟังการตัดสินของศาลฎีกา โดยไม่มีกองเชียร์เสื้อแดงมาให้กำลังใจเหมือนที่ผ่านมา มีเพียงกลุ่มผู้สื่อข่าวแขนงต่างๆ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมารอเฝ้ารายงานสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น
โดยศาลจังวัดพัทยาได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จำคุกจำเลยทั้ง 12 และให้ออกหมายจับ ยกเว้นนายสมญศฆ์ พรมมา เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นเพียงผู้ร่วมชุมนุมเท่านั้น
ด้านนายศักดา นพสิทธิ์ จำเลยที่ 10 เป็นเพียงคนเดียวที่มาศาลในวันนี้ เปิดเผยว่า วันนี้เท่าที่ทราบมีจำเลยบางคนไม่ได้รับหมายจึงไม่ได้มา บางคนในกลุ่มที่ 2 ป่วยมีใบรับรองแพทย์ ส่วนตนเองมีประเด็นในการต่อสู้คดีว่ามีพยานปากหนึ่งที่เบิกความ และศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ เชื่อจนพิพากษาลงโทษเหมือนกันทุกคน แต่ต่อมาพนักงานอัยการโดยอธิบดีอัยการ ภาค 2 มีความเห็นว่าพยานปากหนึ่งคือ พ.ต.ท.ศราวุธ บุญชัย เบิกความจนทำให้ศาลพิพากษาลงโทษ เป็นการเบิกความเท็จ เอกสารสำนวนคดีนี้ได้ถูกส่งไปที่ศาลฎีกา โดยตนเขียนคำร้องยื่นต่อศาลฎีกาเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2562 วันที่ 14 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา จึงมายื่นคำร้องไปที่ศาลฎีกาอีกครั้งว่าเอกสารนี้เป็นเอกสารสำคัญ เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใหม่ หลังจากศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาแล้ว โดยหลักการในลักษณะคดีเหมือนการมีคดีที่มีข้อเท็จจริง เหมือนคดีครูจอมทรัพย์ เขาจะเอาไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ผมเสนอความเห็นนี้ยื่นคำร้องต่อศาลเมื่อวานนี้ว่า การอ่านคำพิพากษาวันนี้ เห็นควรที่ศาลจะรอการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา เพราะเอกสารที่ผมส่งยื่นต่อศาลฎีกา สวนกันกับคำพิพากษาของศาลที่ส่งมาอ่านในวันนี้ ฉะนั้นถ้าหากว่าเพื่อความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรมในทางกฎหมายที่เขาต่อสู้กันแล้ว ข้อเท็จจริงก็เป็นอย่างนั้น อาจจะเปิดโอกาสให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษา
สำหรับเหตุการณ์ก่อความไม่สงบของกลุ่ม นปช. เมื่อเมษายน พ.ศ. 2552 นายอริสมันต์เป็นแกนนำผู้ชุมนุมที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยนำผู้ชุมนุมทั้งจากจังหวัดใกล้เคียงและที่สมทบจากกรุงเทพฯ เพื่อปิดล้อมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับคู่เจรจา โดยเมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้เข้าปิดล้อมหน้าโรงแรมรอยัล คลิฟบีช รีสอร์ท พัทยา เพื่อเข้ายื่นหนังสือกับตัวแทนอาเซียน
และในวันต่อมาได้กลับมาชุมนุมหน้าโรงแรมอีกครั้งเพื่อกดดันรัฐบาลให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ปะทะกับกลุ่มคนสวมเสื้อสีน้ำเงิน ในช่วงเช้า จนกระทั่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมขอเลื่อนการประชุมออกไปโดยไม่มีกำหนด แล้วพาผู้นำประเทศต่างๆ เดินทางออกจากสถานที่ประชุม และขึ้นเครื่องบินกลับโดยทันที