อุบลราชธานี - ปลากระชังในแม่น้ำมูลน็อกน้ำตายไปกว่า 15 ตัน เจ้าของกระชังรับไม่ได้ถึงกับช็อกจากโรคหัวใจ เพื่อนบ้านนำส่งให้แพทย์โรงพยาบาลช่วยรักษา ส่วนเหตุปลาตายเพราะขาดออกซิเจนจากอากาศแปรปรวนและระดับน้ำที่น้อยกว่าปกติเพราะภัยแล้ง
วันนี้ (21 ส.ค.) ที่บ้านท่าลาด ต.ท่าลาด อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เกษตรกรที่เลี้ยงปลานิลในกระชัง ช่วยกันตักปลานิลอายุระหว่าง 2-3 เดือนขึ้นจากกระชังใช้เลี้ยงปลาในแม่น้ำมูล ซึ่งเกิดอาการน็อกน้ำจากสภาพอากาศและลำน้ำที่มีน้ำน้อยกว่าช่วงเดียวกันของทุกปี ทำปลาเลี้ยงในกระชังจำนวน 12 เจ้าทยอยตายตั้งแต่ช่วงกลางดึกจนถึงปัจจุบันประมาณ 15 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
เจ้าของต้องรีบระดมตักปลาที่ตายและกำลังจะตายเพิ่มออกจากกระชังเลี้ยง และเดินเครื่องปั๊มออกซิเจนในน้ำเพื่อชะลอการตายของปลา ส่วนปลาที่ตายแล้วก็นำขึ้นฝั่งมาแช่น้ำแข็ง พร้อมขายในราคาถูกกิโลกรัมละ 10-30 บาท เพื่อลดการขาดทุนที่ปลาเลี้ยงในกระชังตายในครั้งนี้
เหตุการณ์ปลาเลี้ยงในกระชังน็อกน้ำตายจำนวนมากครั้งนี้ยังทำให้เจ้าของปลาเลี้ยงในกระชังคือ นายวีระศักดิ์ โคตะสา อายุ 40 ปี ที่ปลาเลี้ยงในกระชังตายไปทั้งหมด 8 กระชัง ถึงกับช็อกจากอาการโรคหัวใจกำเริบ ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลประจำอำเภอวารินชำราบ
นายบุญสอน ชาชุมพร อายุ 57 ปี เกษตรกรผู้เลี้ยงปลารายหนึ่งเล่าสาเหตุการตายของปลาพร้อมๆ กันครั้งนี้ว่า มาจากสภาพอากาศที่ท้องฟ้ามืดครึ้มและแม่น้ำมูลที่มีน้ำน้อยกว่าปกติของช่วงเดียวกันที่ต้องมีน้ำมากกว่านี้ ทำให้ปลาเลี้ยงขาดออกซิเจนเมื่อช่วงเช้ามืดและทยอยตายเป็นระยะจนถึงปัจจุบัน
จึงต้องเปิดเครื่องปั๊มออกซิเจน แต่ก็ช่วยชะลอการตายให้ช้าลงไประยะหนึ่ง ส่วนของตนมีปลาตายไปแล้วประมาณ 10 กระชัง และเหตุการณ์ปลาเลี้ยงในกระชังตายครั้งนี้ก็ทำให้เพื่อนบ้านที่ป่วยเป็นโรคใจทำใจไม่ได้ช็อกเข้าโรงพยาบาลไป 1 ราย
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับจุดเกิดเหตุตั้งอยู่ท้ายเขื่อนหัวนา อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมักมีปลาเลี้ยงในกระชังตายเป็นประจำในฤดูแล้งติดต่อกันมา 2-3 ปี แต่เป็นครั้งแรกที่มีปลาตายในฤดูน้ำหลากของปีนี้ เพราะแม่น้ำมูลมีน้ำน้อยกว่าปกติ และชาวบ้านได้ขอให้ทางเขื่อนหัวนาช่วยเปิดประตูระบายน้ำส่งน้ำออกมาช่วยหมุนเวียนเพื่อลดความเสียหายจากปลาตายในวันนี้ด้วย
