ศูนย์ข่าวศรีราชา - รถไฟทางคู่ สายชุมทางศรีราชา-ระยอง และมาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด-คลองใหญ่ เพื่อให้เป็นเส้นทางส่งเสริมอุตสาหกรรมผลไม้และการท่องเที่ยวภาคตะวันออก หากประชาชนส่วนใหญ่เห็นชอบ พร้อมเปิดให้บริการได้ปี 74
วันนี้ (23 ก.ค.) เรือโทศตวรรษ อนันตกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่ระดับจังหวัด เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามแนวเส้นทางที่ได้รับการคัดเลือกงานบริการที่ปรึกษา เพื่อศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางคู่ สายชุมทางศรีราชา-ระยอง และมาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด-คลองใหญ่ เพื่อนำเสนอร่างผลสรุปการศึกษาด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจการเงิน ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และผลการดำเนินงานการมีส่วนร่วมของประชาชน พร้อมรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก ณ ห้องประชุมศรีชลวิน โรงแรมพานหิน รีเจ้นท์ ศรีราชา จ.ชลบุรี
นายปัฐพงษ์ บุญแก้ว วิศวกรกำกับการควบคุมงานวิศวกรรมโยธาและสถาปัตยกรรม การรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการรถไฟทางคู่สายชุมทางศรีราชา-ระยอง และมาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด-คลองใหญ่ เป็นเส้นทางรถไฟสายใหม่ ผ่าน 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และสิ้นสุดที่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด มีสถานีรถไฟทั้งสิ้น 34 สถานี ระยะทางรวมประมาณ 333 กิโลเมตร
สำหรับเส้นทางรถไฟทางคู่ดังกล่าว มีแนวทางแบ่งเป็น 3 ช่วง โดยช่วงที่ 1 เป็นเส้นทางเชื่อมโยงนิคมอุตสาหกรรม สู่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อจากสถานีชุมทางศรีราชา-สถานีระยอง ช่วงที่ 2 เส้นทางเชื่อมโยงนิคมอุตสาหกรรม สู่พื้นที่ อ.เมืองระยอง มีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อจากสถานีมาบตาพุด ถึง อ.เมือง จ.ระยอง และช่วงที่ 3 เส้นทางเชื่อมโยงโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออกและการท่องเที่ยว มีจุดเริ่มต้นจาก อ.เมือง จ.ระยอง ผ่านพื้นที่ จ.จันทบุรี และสิ้นสุดที่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด นอกจากนั้น จะมีพื้นที่เก็บกองและขนถ่ายตู้สินค้าด้วยที่บริเวณนิคมอมตะซิตี้ระยอง บริเวณ อ.ท่าใหม่ จ.จันนทบุรี และ อ.เมืองตราด จ.ตราด
ส่วนแนวทางแก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟนั้น โดยตลอดเส้นทางจะมีทั้งสิ้น 6 รูปแบบ คือ 1.ทางรถไฟยกระดับ 2.ทางลอด 3.สะพานกลับรถ 4.ถนนยกระดับข้ามทางรถไฟ 5.ถนนเชื่อมจุดตัดใกล้เคียง และ 6.อุโมงค์รถไฟ ซึ่งในแต่ละจุดจะต้องมีการศึกษาถึงความเหมาะสมด้วย
นายปัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการศึกษาออกแบบความเหมาะสม โดยดำเนินการมาแล้ว 6 เดือน และได้เลือกเส้นทาง ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางการศึกษาที่เหมาะและส่งผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด โดยหลังจากวันนี้จะนำรายละเอียดเสนอคณะผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคมต่อไป หากผู้บริหารระดับสูงให้ความเห็นชอบในแนวเส้นทางดังกล่าว จากนั้นก็จะจัดสรรงบประมาณเพื่อออกแบบรายละเอียดเส้นทางและดำเนินการการก่อสร้างต่อไป ซึ่งหากไม่มีปัญหาอุปสรรคใดๆ พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2574
สำหรับเส้นทางดังกล่าว หากแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ประชาชน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางรางให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ อีกทั้งช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบในภาคตะวันออก พร้อมทั้งสอดรับการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ การคมนาคม และโลจิสติกส์ของอาเซียนต่อไป
นายปฐพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจากการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.จันทบุรี และ จ.ตราด พบว่าส่วนใหญ่ให้ความเห็นชอบต่อโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้น ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย จะเข้าไปดูแลและช่วยเหลืออย่างถูกต้องและชอบธรรม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาใดๆ