ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - ผู้ว่าฯ โคราชนำคณะบุกท่าเรือลาดกระบังศึกษาแผนพัฒนาพร้อมเทียบเชิญผู้ประกอบการและสายเดินเรือร่วมทุนผุดท่าเรือบก 7,700 ล้าน ชี้แรงจูงใจโคราชศักยภาพสูงพร้อมทุกด้าน สินค้าเกษตรอีสานส่งออกอื้อ เร่งของบฯ 38 ล้านทำ TOR เสร็จปีหน้าลุยหาผู้ร่วมทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) จังหวัดนครราชสีมา ภายหลังสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้นำเสนอผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) เพื่อนำไปสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค โดยเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) เพื่อรอรัฐบาลชุดใหม่อนุมัติ โดยผลการศึกษาดังกล่าวได้คัดเลือกพื้นที่เหมาะสมพัฒนาเป็นท่าเรือบก 4 แห่ง วงเงินลงทุนรวม 27,490 ล้านบาท หนึ่งในนั้นมี จ.นครราชสีมา ซึ่งกำหนดจัดตั้งที่ ต.กุดจิก อ.สูงเนิน พื้นที่ 1,800 ไร่ วงเงิน 7,740 ล้านบาท เริ่มสร้างปี 2565 เปิดบริการปี 2568 คาดมีปริมาณสินค้า 287,400 TEUs นั้น
ล่าสุด นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้นำคณะภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย นายหัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฎ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา ตัวแทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน เดินทางไปศึกษาดูงานการพัฒนาท่าเรือบก ที่ท่าเรือลาดกระบัง ( ICD LKB) กรุงเทพฯ พร้อมร่วมหารือกับผู้ประกอบการสายการเดินเรือเพื่อนำมาปรับรูปแบบท่าเรือบกให้เข้ากับบริบทของโคราช และหวังเชิญชวนผู้ประกอบการสายเดินเรือร่วมลงทุนพัฒนาการบริการ บริหารพื้นที่ท่าเรือบก จ.นครราชสีมา
โดยมี นายนฤชา เชาวน์ดี หัวหน้ากองปฏิบัติการไอซีดี ลาดกระบัง ให้การต้อนรับ พร้อมกับผู้ประกอบการ 6 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท สยามซอร์ไซด์ เซอร์วิส จำกัด (SSS), บริษัท อิสเทิร์นซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด (ESCO), บริษัท เอเวอร์กรีนคอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล (ประเทศไทย) จำกัด (ECTT), บริษัท ทิฟฟ่า ไอซีดี จำกัด (TIFFA), บริษัท ไทยฮันจิน โลจิสติกส์ จำกัด (THL) และ บริษัท เอ็น.วาย.เค.ดิสทริบิวชั่น เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด (NICD) รวมถึงบริษัทสายเดินเรือ โอเชี่ยน เน็ตเวิร์ค เอ็กซ์เพรส เข้าร่วมหารือในครั้งนี้
นายณัฐพล มีเศรษฐี ตัวแทนบริษัทสายเดินเรือ โอเชี่ยน เน็ตเวิร์ค เอ็กซ์เพรส กล่าวว่า โคราชมีศักยภาพสูงในทุกด้าน แต่ต้องการให้โคราชศึกษาเพิ่มเติมเรื่องความสมดุลของสินค้านำเข้าและส่งออก เพราะสายเรือจะต้องลากตู้คอนเทนเนอร์จากท่าเรือแหลมฉบังไปเก็บไว้ที่โคราชเพื่อบรรจุสินค้าส่งออก ซึ่งทำให้เกิดต้นทุนค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นทุกสายเรือจะมองในเรื่องของต้นทุน การบริหารจัดการ หากต้นทุนถูกกว่ากัน 100-200 บาทก็ไปได้ หากจะเข้าไปร่วมทุนในการสร้างท่าเรือบกนั้น ต้องศึกษาข้อดี และข้อเสียว่าหากมาลงทุนด้านนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ซึ่งต้องพิจารณาหลายปัจจัย หากทำแล้วรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็จะเป็นประเด็นได้ เนื่องจากบริษัท โอเชี่ยน เน็ตเวิร์ค ถือว่าเป็นบริษัทที่ลงทุนข้ามชาติ ทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากบริษัทแม่ทั้งหมดเราจึงจะจัดการได้
อย่างไรก็ตาม โครงการท่าเรือบกที่โคราชจะเกิดได้หรือไม่นั้นยังไม่สามารถตัดสินได้ เพราะเราได้รับฟังแค่ข้อมูล แต่ยังไม่เคยเห็นสถานที่จริงว่าเอื้ออำนวยต่อการขนส่งหรือไม่ หรือเรื่องของการคมนาคม เราเข้าใจว่ามีสถานประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก ทุกอย่างครบถ้วนหมด มีถนนมอเตอร์เวย์ รถไฟทางคู่ แต่ต้องไปเห็นสถานที่จริง เห็นลูกค้าและปัจจัยแวดล้อมทุกอย่าง เราถึงจะประเมินได้ว่าโครงการจะเกิดขึ้นได้หรือไม่
ทั้งนี้ ทางบริษัทยินดีที่จะลงสำรวจพื้นที่ ซึ่งบริษัท โอเชี่ยน เน็ตเวิร์ค เป็นสายเดินเรือเดียวที่เข้ามาพูดคุยในครั้งนี้ เพราะคิดว่าโครงการกำลังจะเปิดใหม่และหากเราเข้าร่วมจะเป็นเหมือนการเปิดสายตาเราสู่โลกภายนอกว่าที่อื่นทำอะไรบ้าง ซึ่งตรงนี้จะเกิดทุกประโยชน์ทุกที่ อะไรที่มีสินค้า เราลงไปแล้วได้สินค้า เราทำหมด
นายณัฐพลกล่าวอีกว่า บริษัทสายเดินเรือ โอเชี่ยน เน็ตเวิร์ค เอ็กซ์เพรส เกิดจาก 3 บริษัทที่ควบรวมกัน คือ กลุ่มสายการเดินเรือ Kawasaki Kisen Kaisha (“K” Line), Mitsui O.S.K. Lines (MOL) และ Nippon Yusen Kabushiki Kaisha (NYK) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นทั้งหมด เป็นการรวมตัวกันเพื่อทำธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น และต้องการเป็นเบอร์ 1 ของโลก ซึ่งปัจจุบันสายเรืออันดับ 1 จะเป็นสายเรือ Maersk Line แต่เรามั่นใจว่าเราจะเดินไปในทิศทางที่บริษัทแม่ตั้งเป้าหมายไว้
“ปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1.2 ล้านทีอียู ซึ่งสามารถทำได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ ส่วนปีนี้ตั้งไว้ที่ 1.5 ล้านทีอียู แต่ด้วยหลายปัจจัย ทั้งด้านเศรษฐกิจ หรือการส่งออกที่มีผลกระทบต่อค่าเงินบาท และสงครามการตลาด เลยอาจยังทำได้ไม่ถึงเป้า ดังนั้นจึงต้องมาคิดกลยุทธ์ใหม่ในการทำงานว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้บริษัทก้าวไปถึงจุดเป้าหมายที่กำหนดได้” นายณัฐพลกล่าว
นายหัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฏ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า โคราชมีปริมาณการส่งออกคิดเป็น 35% ของภาคอีสาน จุดที่ท่าเรือบกที่ สนข.ชี้คือ พื้นที่ ต.กุดจิก อ.สูงเนิน จะเป็นจุดที่ไม่ต้องสร้างถนนใหม่ ไม่ต้องสร้างรางรถไฟใหม่ และเป็นจุดที่มีความสะดวก เพราะอยู่ภายใต้ผู้ประกอบการในกลุ่มเขตอุตสาหกรรมนวนคร และพื้นที่ทั้งหมดอยู่ในโซนเขตสีม่วง คือเป็นเขตอุตสาหกรรมตามผังเมือง ส่วนสินค้าที่ใช้การขนส่งโดยตู้คอนเทนเนอร์เป็นหลัก คือ สินค้าเกษตร เช่น มันสำปะหลัง ซึ่งกำลังการผลิตของทั้งประเทศอยู่ที่โคราชถึง 30% คือมีพื้นที่ปลูกมากที่สุดในประเทศจำนวน 1.4 ล้านไร่ และข้าวมีพื้นที่เพาะปลูกตั้งแต่ 3 ล้านไร่ขึ้นไป มีไม่กี่จังหวัด เช่น อุบลราชธานี 3.9 ล้านไร่ นครราชสีมา 3.4 ล้านไร่ รองลงมาคือ สุรินทร์ และศรีสะเกษ ซึ่งพื้นที่การส่งออกข้าวทั้งหมดในโซนอีสานตอนล่าง ต้องมาใช้ท่าเรือบกที่โคราชในการทำธุรกรรมด้านการส่งออกทั้งหมด โดยโคราชจะเป็นจุดอุโมงค์ที่มีการสแกนสินค้าภายในตู้คอนเทนเนอร์
ด้าน นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า วันนี้นำคณะจากทั้งภาคการศึกษา ภาคเอกชน และภาครัฐ เข้ามาศึกษาดูงานที่ ICD ลาดกระบัง ซึ่งเป็น ICD ที่ดำเนินการประสบผลสำเร็จมาแล้วกว่า 24 ปี ซึ่งจะเป็นแบบอย่างที่เราจะนำไปปรับใช้ในเรื่องการจัดสร้าง Dry Port หรือท่าเรือบก ที่ จ.นครราชสีมา สำหรับการดำเนินการท่าเรือบก จ.นครราชสีมา ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดทำข้อกำหนดขอบเขตและรายละเอียดของโครงการ หรือ TOR (Term of Reference) เพื่อหาผู้ที่สนใจมาร่วมลงทุนกับทางจังหวัด ซึ่งจะต้องหางบประมาณมาจ้างบริษัทที่ปรึกษามาศึกษาจัดทำ TOR ให้เรา เมื่อ TOR เสร็จต้องเสนอกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม ให้ความเห็นชอบ และจะใช้ TOR นี้ในการหาผู้ร่วมทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
จากการพูดคุยกับบริษัทผู้ประกอบการที่ ICD ลาดกระบังทั้ง 6 บริษัท และได้พบกับสายเดินเรือนั้น ถือว่าเป็นโอกาสอันดี ทั้งนี้ ทางผู้ประกอบการได้ให้คำแนะนำที่สำคัญหลายๆ เรื่อง โดยเรื่องสำคัญหลัก คือ สินค้าที่จะมาใช้ที่ท่าเรือบกขนผ่านตู้คอนเทนเนอร์ โดยใช้ระบบทางราง หรือระบบขนส่งทางรถยนต์ แต่หลักสำคัญต้องดูว่าอะไรต้นทุนถูกที่สุด หากเราสามารถขนตู้คอนเทนเนอร์ไปท่าเรือโดยทางรถไฟถูกกว่ารถยนต์ ผู้ประกอบการเลือกรถไฟแน่นอน แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการให้คำแนะนำมาคือ ตู้คอนเทนเนอร์ขาเข้าควรมีจำนวนมาก ฉะนั้นหากเราสามารถรวบรวมตู้คอนเทนเนอร์ส่งสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบัง ทั้งขาไป จ.นครราชสีมา และขากลับจาก จ.นครราชสีมา มายังท่าเรือได้อย่างสมดุล จะทำให้ค่าใช้จ่ายตรงนี้ถูกลง
จากเดิมแล้วข้อศึกษาของ จ.นครราชสีมา ตั้งสมมติฐานว่าตู้คอนเทนเนอร์ทุกอย่างจะเป็นตู้คอนเทนเนอร์เปล่าจากบริษัท และขึ้นทางรถไฟเพื่อไปบรรจุสินค้าที่ท่าเรือบกโคราช และคิดค่าใช้จ่ายเมื่อบรรจุแล้วส่งมาที่ท่าเรือ แต่วันนี้ผู้ประกอบการให้คำแนะนำเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ ควรมีการประสานกับบริษัทที่นำเข้าให้ใส่ตู้คอนเทนเนอร์ที่เราจะนำไปรับสินค้าที่โคราช ซึ่งจะทำให้มีรายได้สองทาง ทำให้การจัดทำท่าเรือบกมีรายได้เพิ่มอีกส่วนหนึ่ง
“วันนี้เราได้มีโอกาสเข้ามาเยี่ยมชมระบบการทำงานของบริษัท NYK เห็นระบบของการรับสินค้า รับตู้คอนเทนเนอร์ ระบบการจัดเก็บ หรือระบบการปล่อยสินค้า ซึ่งคิดว่าจะเป็นประโยชน์ที่เราจะนำไปใช้ในการวางแผนสำหรับการหาผู้ร่วมทุนท่าเรือบกที่โคราชต่อไป”
นายวิเชียรกล่าวอีกว่า เนื่องจากเอกชนเป็นระบบธุรกิจและต้องมีการแข่งขันอยู่แล้ว ฉะนั้นหาก จ.นครราชสีมามีท่าเรือบกเกิดขึ้น และมีเอกชนรายใดรายหนึ่งไปเขาเห็นว่าสามารถทำกำไรได้ คิดว่ารายอื่นๆ ก็จะตามกันไป เพราะเป็นธุรกิจที่เขาจะแข่งขันกันอยู่แล้ว ซึ่งภาคเอกชนอาจต้องการตัวเลขที่ชัดเจน เมื่อมีการทำ TOR แล้วเสร็จ เราจะนำ TOR นี้มาเสนอเพื่อให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สนใจร่วมกับเรา ซึ่งนอกจากการทาบทามเอกชนภายนอกแล้ว ทางจังหวัดฯ ยังได้เชิญชวนกลุ่มทุนท้องถิ่น เช่น บริษัท P.C.S. จำกัด (มหาชน) ที่ปัจจุบันมีโรงงานตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.โคกกรวด อ.เมืองนครราชสีมา ด้วย
สำหรับการจัดทำ TOR ขณะนี้รองบประมาณจากกระทรวงคมนาคม หากได้ในงบประมาณปี 2563 จะใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี เพราะฉะนั้นช่วงสิ้นปี 2563 จะต้องนำ TOR ส่งกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทยให้ความเห็นชอบ ใช้เวลาประมาณครึ่งปี และเมื่อมีมติเห็นชอบแล้วถึงจะประกาศหาผู้ร่วมทุนซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2 ปีจึงจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ โดยสอดรับกับแผนดำเนินการรถไฟความเร็วสูง ทางการศึกษาวิจัยเห็นว่าเราควรจะเปิดท่าเรือบกที่ จ.นครราชสีมาในปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะเริ่มลงมือก่อสร้าง
ส่วนงบประมาณศึกษาจัดทำ TOR ที่ขอไปประมาณ 38 ล้านบาท ต้องเร่งรัดให้ได้ในปี 2563 หากช้ากว่านี้จะทำให้ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้
อนึ่ง จากการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรือบก จ.นครราชสีมา จะเป็นศูนย์ท่าเรือบกขนาดกลาง มีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ 200,000 ตู้ต่อปีขึ้นไป บนเนื้อที่ 1,800 ไร่ โดยมีค่าดำเนินการดังนี้ ค่าชดเชยที่ดิน/สิ่งปลูกสร้าง 3,140 ล้านบาท, ค่าปรับสภาพดิน 740 ล้านบาท, ค่าออกแบบรายละเอียด 70 ล้านบาท, ค่าก่อสร้าง 2,160 ล้านบาท, ค่าอุปกรณ์ 800 ล้านบาท, ค่าใช้จ่ายตามมาตรการสิ่งแวดล้อม 20 ล้านบาท และค่าควบคุมงานก่อสร้าง 70 ล้านบาท รวม 7,000 ล้านบาท (ต้นทุนราคาปี 2561) ค่าดำเนินการและบำรุงรักษาต่อปี 62 ล้านบาท โดยมีเวลาออกแบบก่อสร้างและติดตั้งระบบตั้งแต่ปี 2565-2567 ก่อนจะเปิดใช้ได้จริงปี 2568