พบช้างป่าละอูแท้งลูกตายในป่าข้างถนนสายห้วยสัตว์ใหญ่-บ้านป่าละอูบน

ประจวบคีรีขันธ์ - เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พบช้างป่าเพศเมีย นอนตายอยู่ในป่าข้างทางถนนสายห้วยสัตว์ใหญ่-บ้านป่าละอูบน ทีมสัตวแพทย์เข้าพิสูจน์ซาก คาดตายมาแล้ว 1 เดือน และพบซากลูกช้างในท้องอีกด้วย น่าจะแท้งลูกตาย

วันนี้ (3 ก.ค.) นายวุฒิพงษ์ ศรีช่วย ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวน ว่า พบซากช้างป่านอนตายอยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติแก่กระจาน อยู่ริมป่าข้างทางถนนสายห้วยสัตว์ใหญ่-บ้านป่าละอูบน หมู่ 3 ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ นายสวัสดิ์ ทวีรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยทีมสัตวแพทย์ สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยทราย และชาวบ้านในพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุซึ่งกำลังมีฝนตก

เจ้าหน้าที่เดินลงจากริมถนนบ้านป่าละอูบน ประมาณ 10 เมตร พบซากช้างป่าขนาดใหญ่ ซึ่งทางสัตวแพทย์ตรวจสอบพบสภาพเน่าส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง มีหนอนจำนวนมาก ซากเนื้อชิ้นส่วนเริ่มหลุดออก มองเห็นทั้งโครงกระดูกที่เป็นชื้นกะโหลก และโครงกระดูส่วนต่างๆ ตามลำตัว รวมทั้งบริเวณชิ้นส่วนขาคู่หน้า และคู่หลัง บริเวณข้อต่อหลุดออก รวมทั้งบริเวณอุ้งเท้าหลุดออกมาแล้ว และบริเวณด้านท้ายชองซากช้างป่า ยังพบชื้นส่วนกะโหลกช้างขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าเป็นซากลูกช้างที่อยู่ในครรภ์ คาดว่าอายุประมาณ 10 เดือน

จากการตรวจสอบบริเวณส่วนกะโหลกพบขนาย บ่งบอกว่าเป็นเพศเมีย บริเวณรอบที่เกิดเหตุพบร่องรอยช้างตัวดังกล่าวน่าจะเดินข้ามถนนและลงมาในป่าข้างทาง และมาล้มอยู่บริเวณจุดที่พบ

เบื้องต้น นายสวัสดิ์ ทวีรัตน์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี กล่าวว่า ตำรวจพิสูจน์หลักฐานนำเครื่องสแกนวัตถุโลหะไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งทางสัตวแพทย์ตรวจสอบโครงกระดูกส่วนต่างๆ ไม่พบว่าหัก แต่ที่บริเวณด้านท้ายพบซากลูกช้างด้วย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากอาการแท้งลูกตาย ซึ่งช้างเพศเมียตัวดังกล่าวมีอายุประมาณ 20 ปี และน่าจะตายมาแล้วประมาณ 1 เดือน เบื้องต้น หลังตรวจสอบเสร็จและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว ก็ให้ดำเนินการขุดหลุมฝังซากบริเวณดังกล่าวทันที

พร้อมกันนี้ ฝากเตือนประชาชนที่สัญจรผ่านเส้นทางถนนห้วยสัตว์ใหญ่-บ้านป่าละอูบน ขอให้ขับขี่รถยนต์ด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรใช้ความเร็ว เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีช้างป่าอาศัยหากินและเดินข้ามไปมาบนเส้นทางดังกล่าวทุกวัน