xs
xsm
sm
md
lg

เจออีกหนุ่มหัวร้อนถูกบีบแตรเตือนขยับรถ ไม่พอใจขับรถไล่บี้ก่อนใช้ไม้เบสบอลตีรถคู่กรณี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ศูนย์ข่าวศรีราชา - ร้อนกันจัง!! เจออีกหนุ่มหัวร้อน ไม่พอใจถูกบีบแตรเตือนให้เคลื่อนรถขณะถึงสัญญาณไฟเขียว ขับรถไล่บี้คู่กรณีก่อนใช้ไม้เบสบอลตีกระจกข้างเสียหาย สุดท้ายเจอถ่ายคลิปแจ้ง ตร.ดำเนินคดี เผยโชคดีแม่ป่วยโรคหัวใจไม่เป็นอันตราย





วันนี้ (1 ก.ค.) นายหัสดาพร สร้อยสลับ อายุ 31 ปี ชาว จ.ชลบุรี ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.อ.อตินันท์ นุชนารถ ผกก.สภ.เมืองชลบุรี พร้อมนำหลักฐานเป็นคลิปภาพที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ หลังถูกชายใส่เสื้อสีน้ำเงิน ขับรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ยาริส สีขาว หมายเลขทะเบียน ฌพ 6958 ไม่ทราบจังหวัด ใช้ไม้เบสบอลกระหน่ำตีกระจกมองข้างจนได้รับความเสียหาย สร้างความตกใจให้แก่ผู้เป็นแม่ซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจ พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวคู่กรณีมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายหัสดาพร เผยว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองได้ขับรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ ไทรทัน สีดำ หมายเลขทะเบียน ฒฒ 7028 กรุงเทพมหานคร ออกจากบ้านเพื่อพาแม่ไปหาหมอ กระทั่งจอดรถติดสัญญาณไฟจราจรบริเวณแยกวิบูลย์ธรรมรักษ์ ต.หนองไม้แดง ตนเองได้บีบแตรแจ้งรถยนต์คันหน้าที่ยังไม่ขยับตัวหลังถึงสัญญาณไฟเขียว แต่คนขับรถยนต์คันดังกล่าวกลับคิดว่าตนเองหาเรื่องจึงขับรถตามมาถึงหน้าโรงเรียนชลบุรีสุขบท

แต่ตนเองไม่ต้องการมีเรื่องจึงขับรถหนีกระทั่งรถจอดติดสัญญาณไฟจราจรที่บริเวณสี่แยกไฟแดงเฉลิมไทย ต.บ้านสวน อ.เมืองชลบุรี ชายคนดังกล่าวจึงลงจากรถ และพยายามที่จะดึงประตูรถของตนเองก่อนจะใช้ไม้เบสบอลกระหน่ำตี

“โชคดีที่แม่ซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจไม่เป็นอะไร จึงอยากให้คู่กรณีมีน้ำใจในการใช้รถใช้ถนนมากกว่านี้ และโดยส่วนตัวแล้วก็รู้สึกโมโหที่จอดรถอยู่ดีๆ ก็ต้องมาได้รับความเสียหายจากการกระทำของคนหัวร้อน” นายหัสดาพร กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.อตินันท์ นุชนารถ ผกก.สภ.เมืองชลบุรี กล่าวว่า จากการตรวจสอบคลิปวิดีโอทำให้ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ยี่ห้อรถและหมายเลขทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนี้จะทำการออกหมายเรียกชายคนดังกล่าวเพื่อเข้ามาสอบถามรายละเอียดก่อนดำเนินคดีตามกฎหมาย

"อยากให้ผู้ก่อเหตุเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่เพราะเป็นเรื่องของการทำร้ายทรัพย์สินและมีโทษปรับเท่านั้น และหากมีการชดใช้ในส่วนของความเสียหายจนเป็นที่พอใจทั้ง 2 ฝ่าย ก็จะไม่ถูกติดตามจับกุม" พ.ต.อ.อตินันท์ กล่าว








กำลังโหลดความคิดเห็น