บุรีรัมย์- เถ้าแก่ผู้ประกอบการรถแห่อีสาน วอนรัฐผ่อนปรนมาตรการเอาผิดเพื่อไม่ให้กระทบต่ออาชีพขาดรายได้และทำคนตกงานเพียบ ระบุเป็นวิถีชาวอีสานที่พัฒนาปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย แต่หากรัฐวางกฎพร้อมปฏิบัติตาม ชี้รถแห่ไม่ใช่ ต้นเหตุวัยรุ่นทะเลาะวิวาท แต่เกิดจากความมึนเมามีเรื่องเขม่นกันมาก่อน
วันนี้ ( 12 มิ.ย.) จากกรณีที่หน่วยงานภาครัฐได้มีมาตรการคุมเข้มรถแห่เครื่องเสียงเคลื่อนที่ หลังจากเกิดปัญหากลุ่มวัยรุ่นที่ไปรวมตัวกันเต้นรำสนุกสนานตามรถแห่ในงานต่างๆ ก่อเหตุทะเลาะวิวาทยกพวกชกต่อยกันในหลายพื้นที่ นั้น จากการลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็นของผู้ประกอบการรถแห่เครื่องเสียงในภาคอีสาน ซึ่งต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หากหน่วยงานภาครัฐออกมาตรการเอาผิดรถแห่ โดยเฉพาะเรื่องการดัดแปลงสภาพรถจะส่งผลกระทบต่อการทำมาหากินอย่างแน่นอน
จึงอยากวิงวอนให้มีการพิจารณาผ่อนปรนเพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เพราะผลกระทบไม่ได้เกิดกับตัวผู้ประกอบการเท่านั้น แต่จะกระทบไปถึงทีมงาน รวมถึงนักร้อง นักดนตรีที่รับงานตามรถแห่จะตกงานขาดรายได้ตามไปด้วย แต่หากหน่วยงานราชการที่มีหน้าดูแลรับผิดชอบ จะมีการออกกฎระเบียบหรือข้อปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ผู้ประกอบการพร้อมที่จะปฏิบัติตาม เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพและรับงานได้ตามปกติโดยที่ไม่เกิดปัญหา
นายสมบัติ ทิพย์ธรรมมา ผู้ประกอบการรถแห่รายหนึ่ง บอกว่า อาชีพรถแห่เครื่องเสียงถือเป็นวิถีของคนอีสาน ที่มีมาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนให้ทันต่อยุคสมัยเท่านั้น เพื่อให้เกิดความสะดวกมากขึ้น จากเดิมอาจจะเป็นขบวนแห่กลองยาว พัฒนามาเป็นรถปิกอัพ และปัจจุบันปรับปรุงเป็นรถขนาดใหญ่ขึ้น เพราะนอกจากจะแค่เปิดเพลงก็ยังสามารถเล่นดนตรีสดบนรถได้ด้วย ทำให้ทันสมัยมากขึ้นแต่ยังคงความเป็นวิถีคนอีสาน อยากให้หน่วยงานรัฐเห็นใจและเปิดโอกาสให้ประกอบอาชีพได้ตามปกติด้วย ซึ่งขณะนี้บางพื้นที่จังหวัดสามารถขออนุญาตเป็นรถเฉพาะกิจได้ แต่บางพื้นที่ขอยังไม่ได้ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความชัดเจนด้วย
ส่วนสาเหตุที่กลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทชกต่อยกัน ตนมั่นใจว่าต้นเหตุไม่ได้เกิดจากรถแห่ แต่เกิดจากความมึนเมา ความคึกคะนอง และวัยรุ่นที่อาจจะเคยเขม่นหรือเป็นคู่อริกันมาก่อน พอมาเจอกันในงานที่มีรถแห่ จึงเกิดการทะเลาะชกต่อยกัน เพราะปัญหาวัยรุ่นยกพวกตีกันก็เกิดขึ้นในหลายๆ งาน และหลายพื้นที่ ซึ่งบางงานไม่ได้มีรถแห่ไปร่วมงานเลยยังมีเหตุตีกัน จึงมองว่าหากการออกมาตรการเอาผิดรถแห่เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุและไม่ตรงจุด