ศูนย์ข่าวศรีราชา - เปิดแนวคิดประธานหอการค้าชลบุรีคนใหม่ ทั้งนโยบายผลักดันชลบุรีสู่เมืองแห่งอินโนเวชัน ฮับนวัตกรรม และการบริหารธุรกิจของครอบครัวที่ประสบผลสำเร็จได้ดั่งใจ
การเลือกตั้งประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรี รวมทั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ที่จะอยู่ในวาระปี 2562-2563 เพื่อบริหารงานต่อจาก นายสุนทร ธัญญวัฒนกุล อดีตประธานหอการค้าหลายสมัย และคณะกรรมการบริหารชุดเก่าที่หมดวาระลง เพื่อเปลี่ยนถ่ายการบริหารงานสู่คนรุ่นใหม่ที่มุ่งหวังให้เกิดผลักดันการใช้นวัตกรรมที่ทันสมัยเพื่อยกระดับการค้า การลงทุนและการต่อยอดธุรกิจของผู้ประกอบการในพื้นที่ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุค EEC กำลังเป็นที่จับตาของภาคธุรกิจในพื้นที่ยิ่งนัก
ขณะที่ผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งประธานหอกาค้าคนใหม่อย่าง นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล หรือคุณกอล์ฟ ที่ก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการหอการค้าจังหวัด นอกจากจะมีความน่าสนใจที่ประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจของตระกูลที่ประสบความสำเร็จแล้ว ความเป็นบุตรชายของอดีตประธานหอการค้า ยังสามารถเชื่อได้ว่าจะนำพาภาคธุรกิจและกลุ่มเอสเอ็มอีใน จ.ชลบุรี ให้สามารถฝ่าฟันกระแสความซบเซาทางเศรษฐกิจไปได้
นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล ได้เคยเปิดใจกับ manager online เกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาหอการค้าจังหวัดชลบุรีไว้ก่อนหน้านี้ ว่า จะต้องสอดรับต่อนโยบายการพัฒนาประเทศในโครงการ Thailand 4.0 และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC รวมทั้งการผลักดันให้ จ.ชลบุรี เป็นเมืองแห่งอินโนเวชัน นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะเป็นเทรนด์ในอนาคตที่รัฐบาลให้การสนับสนุน
โดยการเป็นเมืองแห่งอินโนเวชัน ฮับนวัตกรรม จะไม่ใช่แค่เพียงทางเลือกในการทำธุรกิจในยุคที่เศรษฐกิจซบเซาเท่านั้น แต่จะเป็นทางรอดของธุรกิจในหลายๆ ธุรกิจที่จะสามารถต่อยอดไปถึงต่างประเทศ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการภาคธุรกิจใน จ.ชลบุรี ภาคตะวันออก และระดับประเทศ โดยเฉพาะภาคการเกษตร ให้ได้มีความรู้ในการสอดแทรกนวัตกรรมใหม่ในการแปรรูปสินค้าเพื่อสร้างมูลค่า
เช่นเดียวกับสินค้าประมง ที่ยังมีความต้องการในตลาดต่างประเทศสูง แต่เจ้าของสินค้าจะต้องรู้จักการแปรรูปสินค้าให้มีจุดขายเพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้มากขึ้นก่อน
ทายาทรุ่น 2 “ข้าวตราไก่แจ้” สู่ธุรกิจข้าวต้มมัดโกอินเตอร์สร้างรายได้นับ 100 ล้านบาทต่อปี
นายธีรินทร์ ธัญญวัฒนกุล ยังมีความน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องการบริหารธุรกิจของตระกูล ในฐานะกรรมการบริหาร บริษัท สุนทรธัญทรัพย์ จำกัด ผู้จำหน่ายข้าวสารตรา “ไก่แจ้” และ “กระเช้า” ซึ่งมีโรงงานอยู่ใน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ที่่ในวันนี้ยังมีแบรนด์ขนมไทย “ตราแม่นภา ” ที่มียอดขายไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่อปีในต่างประเทศ ที่สำคัญยังเป็นสินค้ายอดนิยมในโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ของไทย
โดยภายหลังจากที่ธุรกิจค้าข้าวสาร ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ดำเนินมานานกว่า 30 ปี ประสบผลสำเร็จทั้งในแง่ของการขยายพื้นที่การตลาด จากเดิมที่ค้าส่งอยู่เพียง 3 อำเภอใน จ.ชลบุรี ประกอบด้วย พนัสนิคม เมืองชลบุรี และศรีราชา และเป็นเพียงการดำเนินงานในลักษณะนิติบุคคล ที่มีเพียงโรงแพกข้าวในเนื้อที่ขนาดเล็ก มีพนักงานไม่ถึง 20 คน แต่ในวันนี้สามารถกระจายสินค้าไปได้ในทุกหมู่บ้านหลายจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่และโมเดิร์นเทรด จนถึงตลาดต่างประเทศในระยะเวลาเพียง 8-9 ปีที่ผ่านมา จนเพิ่มยอดขายจากหลัก 10 ล้านบาท เป็นกว่าพันล้านบาทต่อปี
จึงมีแนวคิดในการยกระดับการพัฒนาระบบงานภายในทั้งบุคลากรและการขยายพื้นที่การค้า รวมทั้งสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ภูมิปัญหาไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่ต่อยอดภูมิปัญญาให้แก่สินค้าที่มี โดยระดมความคิดว่าจะเพิ่มสินค้าใหม่อย่างไร นอกจากข้าวสารที่นำมาบรรจุถุงขาย
“เนื่องจากการมีครอบครัวที่เติบโตใน อ.พนัสนิคม ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวที่สำคัญของ จ.ชลบุรี ประกอบกับเมื่อครั้งเป็นเด็ก ยังชอบรับประทานขนมไทย เพราะครอบครัวไม่สนับสนุนให้รับประทานขนมซองที่มีทั้งรถเค็มและผงชูรส จึงคิดว่าขนมไทย นอกจากจะส่งเสริมความเป็นไทยแล้ว ยังมีคุณค่าทางอาหาร ซึ่งสินค้าตัวแรกที่นึกถึงก็คือ ข้าวต้มมัด เพราะเป็นเมนูที่คุณแม่ทำให้กินเป็นประจำ จึงทำข้าวต้มมัดออกขายทั่วโลก ภายใต้ชื่อ แม่นภา ซึ่งเป็นชื่อของคุณแม่”
และในวันนี้ข้าวต้มมัดตรา “แม่นภา” ไม่เพียงแต่จะเป็นที่รู้จักใน จ.ชลบุรีเท่านั้น แต่ยังกระจายไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักคือ ประเทศจีน เกาหลี ยุโรป อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล ไม่เพียงเท่านั้นยังมีดิสทริบิวเตอร์ในต่างประเทศให้ความสนใจสั่งซื้ออีกเป็นจำนวนมาก จนทำให้ข้าวต้มมัดตรา “แม่นภา” แตกไลน์การผลิตขนมไทยไปถึง กล้วยเบรกแตก เผือกเบรกแตก มันเบรกแตก และถั่วกลอย ออกจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด ร้านเซเว่นฯ และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ และส่งออกในหลายประเทศ
“ยอดขายเฉพาะขนมไทยในวันนี้มีไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาทต่อปี และยังมีการเติบโตทางการตลาดอย่างต่อเนื่องหลังเปิดตัวได้เพียง 3 ปี ส่งผลให้บริษัทต้องเพิ่มอัตราการจ้างงานโดยเน้นคนพื้นที่เป็นหลัก 80-90% ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไม่ว่าจะเป็นกล้วย เผือก มันจะรับซื้อจากเกษตรกรในพื้นที่เป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ให้แก่สินค้าของเรา สอดรับต่อนโยบายการพัฒนาประเทศในโครงการ Thailand 4.0 และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่กำลังจะเกิดขึ้น”
แตกไลน์ KJ PROPERTY สู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การแตกไลน์ธุรกิจสู่บริษัท KJ PROPERTY CO.,LTD เพื่อเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งประธานหอการค้าจังหวัดชลบุรีคนใหม่ เผยว่า ธุรกิจดังกล่าวเกิดจากการปลูกฝังของครอบครัวที่ชื่นชอบการซื้อที่ดินสะสมและพัฒนาที่ดินที่มีอยู่ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม โดยได้เริ่มต้นพัฒนาธุรกิจโรงแรม ทั้ง ราชาเรสซิเดนท์ ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และโครงการ ธาริส อาร์ท โฮเทล ที่ จ.แพร่ รวมถึงพัฒนาอพาร์ตเมนต์ในนิคมฯ อมตะนคร จ.ชลบุรี และอีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง เพราะมองว่าธุรกิจอสังหาฯ ในชลบุรี ยังเติบโตได้เพียงแต่ต้องให้ความสำคัญต่อทำเลที่ตั้ง และความต้องการของตลาด
สอดรับต่อนโยบายสำคัญของหอการค้า จ.ชลบุรี ที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นจริงเพื่อล้อไปกับโครงการอีอีซี และไทยแลนด์ 4.0 ก็คือ การทำให้ จ.ชลบุรี เป็นเมืองแห่งอินโนเวชัน ฮับนวัตกรรมในอนาคตนั่นเอง
