xs
xsm
sm
md
lg

ปล่อยนานยิ่งอันตราย! ชาวระยองผวาจี้หาผู้รับผิดชอบสารพิษตกค้าง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ระยอง - ชาวระยองผวา จี้หาผู้รับผิดชอบสารพิษตกค้าง ในโรงงานหลอมทองแดงของบริษัทไทยคอปเปอร์ฯ เร่งขนกำจัดทำลายทันที พร้อมเตรียมยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ จี้หน่วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางมาตรฐานใหม่ในการสั่งปิดโรงงาน

จากกรณีสมาชิกเครือข่ายสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนระยอง เรียกร้องหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งขนย้าย สารพิษไซยาไนด์ และน้ำกรดนับ 100 บ่อตกค้างในโรงงานหลอมทองแดงของ บริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จำกัด (มหาชน) ที่ปิดดำเนินการนานกว่า 10 ปี หวั่นกระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ โดยมีเจ้าหน้าที่ธนาคารผู้ฟ้องดำเนินการยึดทรัพย์ โรงงานไทยคอปเปอร์ฯ, ผู้รับผิดชอบสถานที่ และตัวแทนบริษัท เอราวัณ จำกัด ซึ่งรับช่วงดำเนินการขนย้ายจาก หจก. พงกรศรัณย์ และนักวิชาการสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ เข้าตรวจสอบ

นายวีระชัย ช้างสาร สมาชิกเครือข่ายสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จังหวัดระยอง กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องเข้ามาบริหารจัดการ เพราะวัตถุอันตรายที่มีพิษร้ายแรงเหล่านี้ ได้สร้างโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวบ้านโดยไม่รู้ตัว

“ ที่ผ่านมาได้ไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน ทำให้ทราบว่า พวกเขาไม่รู้เลยว่าในพื้นที่โรงงงานแห่งนี้มีสารพิษอันตรายที่ตกค้างอยู่มากมายขนาดนี้ พอเข้าจึงตกใจมาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร บางคนที่ได้รับผลกระทบมาก ทำให้เกิดอาหารหายใจติดขัดและผิวหนังพุพอง จากการลงพื้นที่ตรวจสอบในโรงงานทำให้ได้ข้อเท็จจริงว่า โรงงานที่ปิดดำเนินการมานานกว่า 10 ปีแห่งนี้ไม่ได้ทำความสะอาดท่อลำเลียงใดๆ ทั้งสิ้นเลยก่อนที่จะทำการปิดโรงงงาน ซึ่งพอถูกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ก็ซับสวิตช์ปิดโรงงานในทันที โดยที่ไม่มีมาตรการในการดำเนินงานปิดโรงงงานที่เป็นมาตรฐานแต่อย่างใด”

ทั้งนี้ในพื้นที่ดังกล่าว ถูกประกาศเป็นเขตควบคุมมวลพิษ ตามประกาศของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 32 พ.ศ.2552 ซึ่งกำหนดให้ท้องที่เขตตำบลมาบตาพุด ตำบลห้วยโป่ง ตำบลเนินพระ และตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง ทั้งตำบล ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ทั้งตำบล และตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยองทั้งตำบล

ดังนั้น กฎหมายที่ออกมาควบคุมบังคับใช้ฉบับนี้จึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อการกำจัดและทำลาย “สารพิษตกค้าง” ที่ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนในทันที ซึ่งสารพิษตกค้างเหล่านี้ถือเป็น “วัตถุอันตราย” ตามพระราชบัญญัติ วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 โดยเฉพาะสารที่มีพิษร้ายแรงอย่าง “สารไซยาไนด์” ซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้ หากร่างกายได้รับเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด

ตัวอย่างผลกระทบจากสารไซยาไนด์ เหตุเกิดที่หมู่บ้านนานหองบง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย ในปี พ.ศ. 2551 เมื่อชาวบ้านรวมตัวกันร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเกี่ยวกับการปล่อยสารพิษ โดยเฉพาะสารไซยาไนด์ลงสู่แม่น้ำจากการทำเหมืองทองคำของ บริษัท ทุ่งคำ ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถนำน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมาใช้เพื่อการบริโภคและอุปโภคได้ จำนวน 104 คน และจากการตรวจสอบของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า มีผู้ป่วย 6 รายเจ็บป่วยจากสารพิษไซยาไนด์ และจากการตรวจสอบแหล่งน้ำธรรมชาติและลำน้ำของแม่น้ำเลย พบว่ามีการปนเปื้อนของสารไซยาไนด์เกินค่ามาตรฐาน ถ้านำไปใช้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

นายวีระชัย กล่าวต่อว่า “การที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี โดยการเชิญชวนและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาสร้างเมืองอุตสาหกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้า ทั้งการการลดขั้นตอนการทำ EIA การลดภาษีเครื่องจักร ซึ่งถือเป็นโปรโมชั่น ให้กับนักลงทุนที่สนในเข้ามาลงทุนในพื้นที่แผ่นดินทองแห่งนี้

แต่มาตรการในการรักษาสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะต้องมีมาตรการในการบริการจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่าง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กรมโรงงานอุตสาหกรรม จะต้องเร่งเข้ามาบริหารจัดการเพื่อเร่งขนกำจัดและทำลายสารพิษเหล่านั้นทันที พร้อมกับวางมาตรฐานใหม่การสั่งปิดโรงงาน เช่น การติดตั้งระบบบำบัดสารพิษ และตรวจค่าให้เป็นไปตามค่ามาตรฐาน เพื่อควบคุมและกำกับการประกอบกิจการโรงงานเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง ความปลอดภัยของประเทศ หรือของสาธารณชน การป้องกันเหตุเดือดร้อน รำคาญ การป้องกันความเสียหายกันป้องกันอันตรายที่ อาจจะเกิดแก่ประชาชน หรือสิ่งแวดล้อม

“หลังจากนี้ตนเองจะไปยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้หันหน้าเข้ามาช่วยดูแล รับผิดชอบ และร่วมบูรณาการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะหากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป เท่ากับว่าจะเป็นการเร่งนาฬิกาชีวิตให้กับประชาชนชาวระยองต้องเจ็บป่วยล้มตายกันมากขึ้น”




กำลังโหลดความคิดเห็น