กาฬสินธุ์ - อดีต ผอ.โรงเรียนกมลาไสยเปิดใจไม่ได้เบี้ยวเงินผู้รับเหมาหญิงจนเกิดเรื่องฉาวโฉ่ ยันจ่ายค่าจ้างรับเหมาก่อสร้างเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในโรงเรียนมาโดยตลอด และไม่เคยทุจริต อ้างไม่รู้การบริหารงานช่วง 2-3 ปีหลังจากย้ายออกไป
จากกรณีนางวิจิตรา บุญรัตน์ หรือยายแก้ว อายุ 51 ปี ผู้รับเหมาหญิง ชาว ต.ห้วยโพธิ์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ นำป้ายไวนีลขนาดใหญ่ ซึ่งมีข้อความคล้ายกับเป็นการทวงหนี้ระบุว่า “ผอ.สั่งทำงาน งานเสร็จ ไม่มีเงินจ่าย ใครจะรับผิดชอบ” และ “ผอ.เห็นพวกเราเป็นคนมั้ย สงสารพวกเราบ้างหรือเปล่า” มาติดไว้บนสะพานลอยบริเวณหน้าโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองกาฬสินธุ์ เนื่องจากต้องการขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่ 24 หลังจากถูกอดีตผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งปัจจุบันย้ายไปดำรงตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งในตัวอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ว่าจ้างให้ก่อสร้างปรับปรุงโรงเรียนจนแล้วเสร็จหลายโครงการ เวลาผ่านมานานกว่า 3 ปีแล้วแต่กลับไม่ยอมจ่ายเงินจำนวน 5,200,000 บาท จนทำให้ครอบครัวเป็นหนี้สิน ที่นาถูกยึด ไม่มีเงินจ่ายค่าแรงคนงาน
ล่าสุดวันนี้ (27 ก.พ. 62) นายสุรปรีชา ลาภบุญเรือง ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นอดีต ผอ.โรงเรียนกมลาไสย กล่าวว่า ตนย้ายมาดำรงตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนกมลาไสยเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 57 ซึ่งก่อนหน้าที่ตนจะย้ายมานั้นทางโรงเรียนได้มีหนี้ผูกพันบางส่วนมาก่อนแล้ว แต่ตามสปิริตและภาระหน้าที่ของผู้อำนวยการ จะต้องดำเนินการบริหารงานพัฒนาโรงเรียนอย่างเต็มความสามารถ
ระหว่างที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกมลาไสยประมาณ 2 ปีนั้น มุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาการเรียนการสอนทางด้านวิชาการแล้ว ยังได้พัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ให้โรงเรียนน่าอยู่ เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอน ให้สถานที่ต่างๆ เป็นห้องเรียนธรรมชาติ และเด็กนักเรียนได้จัดกิจกรรม โดยดำเนินงานโครงการต่างๆ บรรจุอยู่ในแผนงบประมาณ แต่หากโครงการใดวงเงินเกินก็จะใช้งบบริหารหรืองบเร่งด่วนที่โรงเรียนจัดสรรไว้ 10 เปอร์เซ็นต์ไปช่วย
นายสุรปรีชากล่าวต่อว่า ส่วนกรณีของนางวิจิตรา บุญรัตน์ หรือยายแก้วนั้น ถือเป็นผู้รับเหมาที่เข้ามาทำงานก่อสร้างในโรงเรียนมานานหลายปี ถือเป็นขาประจำ ซึ่งก่อนที่ตนย้ายมาทราบว่าทางโรงเรียนเป็นหนี้ยายแก้วประมาณเกือบ 4 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ช่วงระหว่างที่ตนเป็น ผอ.โรงเรียนกมลาไสยยอมรับว่าทางโรงเรียนได้ว่าจ้างยายแก้วจริง แต่ได้จ่ายเงินให้ยายแก้วเป็นค่าก่อสร้างทุกปีเฉลี่ยประมาณ 5-7 แสนบาท รวมทั้งผู้รับเหมารายอื่นๆ
ให้ทุกคนอยู่ได้ มีความสุข มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจ และเลี้ยงครอบครัว ซึ่งไม่เคยมีปัญหา แต่หลังจากที่ตนย้ายมาในช่วงเดือน พ.ย. 59 ซึ่งเป็นช่วงภาคเรียนที่ 2 ก็ไม่ทราบว่าผู้บริหารชุดใหม่ดำเนินการอย่างไร เพราะตนหมดอำนาจหน้าที่ในโรงเรียนแล้ว กระทั่งมาทราบล่าสุดว่ามีผู้รับเหมาเข้าไปร้องที่ศูนย์ดำรงธรรมและไปติดป้ายทวงหนี้ดังกล่าว
“ผมยืนยันว่าโครงการต่างๆ ที่ทำลงไปนั้นต้องการพัฒนาปรับปรุงสถานศึกษาให้น่าอยู่ น่าเรียน หลังจากย้ายมาวัสดุอุปกรณ์ทุกอย่างไม่ได้ถือติดไม้ติดมือมาด้วย อยู่ที่โรงเรียนทั้งหมด เงินทุกบาททุกสตางค์ไม่ได้นำมาใช้สร้างบ้านส่วนตัว ทุกโครงการนำเข้าแผนและได้รับความเห็นชอบจากหลายฝ่าย การก่อสร้างหรือจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ทำตามระเบียบ ไม่มีทุจริตสามารถตรวจสอบได้ ได้จ่ายเงินไม่เคยเบี้ยวใคร และหลวงไม่ได้เสียหายอีกด้วย เรื่องดังกล่าวทำให้สังคมมองว่าผมเบี้ยวหนี้ ที่จริงแล้วไม่ใช่ ส่วนระยะหลังมา 2-3 ปีนี้ผมไม่ทราบการบริหารงาน” นายสุรปรีชากล่าวทิ้งท้าย