ศูนย์ข่าวขอนแก่น - เปิดตำนาน “นกหัสดีลิงค์” ในประวัติศาสตร์ล้านนา นกยักษ์มีหัวเป็นช้าง มีหางเป็นหงส์ สัตว์จากป่าหิมพานต์ที่จะส่งวิญญาณ “หลวงพ่อคูณ” สู่สรวงสวรรค์ อย่างไรก็ตาม ต้องมีผู้สืบทอดเชื้อสายนางสีดาตามตำนานเป็นผู้ฆ่านกหัสดีลิงค์
เมรุชั่วคราวในพิธีพระราชทานเพลิงครูใหญ่ “หลวงพ่อคูณ” ออกแบบโดยคณะศิลปกรรมและคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.ขอนแก่น โดยออกแบบเป็น “นกหัสดีลิงค์” ตามวัฒนธรรมของล้านช้าง หลังพระราชทานเพลิงแล้วเสร็จจะสร้างอนุสรณ์สถานครอบไว้ โดยจะนำหุ่นรูปปั้นหลวงพ่อคูณที่ประดิษฐานชั้น 7 คณะแพทยศาสตร์ รพ.ศรีนครินทร์
รวมทั้งอ่างดองสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ เตียงครูใหญ่ ชุดผ่าตัดครูใหญ่ มาจัดเก็บในอนุสรณ์สถานดังกล่าว เพื่อให้นักศึกษา บุคลากรทั่วไป พร้อมศิษยานุศิษย์ได้กราบไหว้รำลึกถึงหลวงพ่อคูณได้ตลอดเวลา
สำหรับ "นกหัสดีลิงค์" ที่จัดสร้างเพื่อรองรับบุษบกบรรจุสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ จะแตกต่างจากงานทั่วๆ ไป เพราะทำด้วยกระดาษโทนสีขาว สื่อถึงความเรียบง่าย สมเกียรติ และยังสื่อถึงความบริสุทธิ์ เพื่อส่งดวงวิญญาณหลวงพ่อคูณสู่สรวงสวรรค์ ยกเว้นส่วนบนยอดฉัตรนกหัสดีลิงค์ จะเป็นสีทอง โดยมีกลไกให้นกสามารถเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ได้
ส่วนฐานบุษบกจะสร้างเป็นรูป 8 เหลี่ยม กว้าง 16 เมตร สูง 3 ชั้น เมื่อรวมความสูงถึงยอดจะสูง 22 เมตร 60 เซนติเมตร หรือเทียบเท่าตึก 5 ชั้น บริเวณราวบันได 4 ด้าน ในแต่ละชั้นจะประดับตกแต่งด้วยงานปั้นพญานาคหนึ่งเศียร พร้อมประดับตกแต่งด้วยสัตว์หิมพานต์สีขาวทั้ง 4 ทิศ เพื่อให้บรรยากาศเหมือนอยู่บนเขาพระสุเมรุ
แง้มตำนาน “นกหัสดีลิงค์” ฉบับล้านนา
ตามประวัติศาสตร์ล้านนาที่เล่าขานต่อกันมา บันทึกไว้ว่า “นกหัสดีลิงค์” เป็นนกขนาดใหญ่ ตัวโตเท่าช้าง เรียกชื่อตามเจ้าของภาษาว่า “หัตถิลิงคะสะกุโณ” เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ เป็นนกที่มีหัวเป็นช้าง มีหางเป็นหงส์ มีพละกำลังดั่งช้างเอราวัณ 3-5 เชือกรวมกัน ซึ่งเป็นสัตว์คู่บารมีของกษัตรา เจ้าเมืองผู้มีอำนาจบารมีสูง
โดยความเชื่อของชาวล้านนามาแต่อดีตกาลนิยมสร้างปราสาทนกหัสดีลิงค์เพื่อบรรจุพระศพของกษัตริย์เจ้านายฝ่ายเหนือ รวมถึงพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ที่มรณภาพลง เพื่อให้พิธีศพมีความสง่างาม สมฐานะบารมี และเป็นการส่งดวงวิญญาณไปสู่สรวงสวรรค์ชั้นพรหมโลก เทวโลก แต่ในปัจจุบันปราสาทนกหัสดีลิงค์นิยมใช้ในพิธีศพของพระเถระชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น
เอกสารประวัติศาสตร์ของล้านนาได้กล่าวถึงนกหัสดีลิงค์หลายครั้ง ในตำนานจามเทวี กล่าวว่า พระฤาษีสัชชนาไลยใช้ให้นกหัสดีลิงค์ไปเอาเปลือกหอยสังข์ใหญ่ในทะเลมา เพื่อใช้เป็นรูปทรงสร้างเมืองหริภุญชัย ไม่ปรากฏหลักฐานว่าขนาดของนกหัสดีลิงค์นั้นใหญ่โตเท่าใด
ขณะที่ในเชิงศิลปกรรมแล้ว พบว่า มีการสร้างนกหัสดีลิงค์หลายแห่ง เช่น บนเสาตุงกระด้างในวัดพระธาตุลำปางหลวง และนกหัสดีลิงค์เท่าที่รู้จักกันแพร่หลายในล้านนามักจะเกี่ยวกับพิธีงานศพของพระสงฆ์ที่มีพรรษามาก โดยจะทำเป็นปราสาทศพรูปนกหัสดีลิงค์ เพราะมีความเชื่อกันว่า นกหัสดีลิงค์สามารถนำดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ได้ และตามตำนานนั้นก่อนที่จะเผาผู้วายชนม์ จะต้องมีพิธีกรรมการฆ่านกหัสดีลิงค์ และผู้ที่จะฆ่านกหัสดีลิงค์ได้คือ นางสีดาเท่านั้น
รศ.ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับ “นางสีดา” ผู้ฆ่านกหัสดีลิงค์ตามตำนานดังกล่าวไม่ใช่พระมเหสีของพระรามในรามเกียรติ์ แต่เป็นนางสีดาที่เชื่อกันตามตำนานกันว่ามีอยู่จริง จากงานวิจัยในอีสานมีการระบุว่า นางสีดาถูกสร้างขึ้นสอดคล้องตามตำนาน เป็นนางสีดาสืบเชื้อสายจากเมืองอุบลราชธานี ที่ชาวอีสานเชื่อถือมากที่สุด
ในพิธีพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ ก็จะใช้นางสีดาที่สืบสายเชื้อจากเมืองอุบลเช่นกัน ซึ่งจากการวิจัยที่มีหลักฐาน พบว่า การฆ่านกหัสดีลิงค์ตัวแรกของเมืองอุบลนั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2314 ส่วนผู้สืบเชื้อสายนางสีดาผู้ฆ่านกหัสดีลิงค์คนแรกเป็นใครไม่มีการบันทึกไว้ชัดเจน สืบค้นทราบเพียงว่ามีการสืบทอดนางสีดาเชื้อสายเมืองอุบลมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
สำหรับผู้สืบเชื้อสายรายล่าสุด พบว่า เป็น นางเมทินี หวานอารมณ์ ปัจจุบันเป็นนักวิชาการตรวจสอบภายใน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 3 และในงานพิธีพระราชทานเพลิงศพสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ วันที่ 29 ม.ค.นี้ นางเมทินี ได้ตอบรับเข้าร่วมในพิธีฆ่านกหัสดีลิงค์ในงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงพ่อคูณแล้ว