ศูนย์ข่าวขอนแก่น - สมรภูมิเลือกตั้ง ส.ส.เขต 1 ขอนแก่นลุกเป็นไฟ ลูกชาย “เสี่ยเล้ง” ลูกแหง่จากพรรคเพื่อไทยมีสิทธิถูกล้มเมื่อเจอคู่แข่งจากพลังประชารัฐที่ได้กระแสพรรคช่วยดันเต็มที่ ขณะที่ “วิฑูรย์” จากพรรคลุงกำนันก็พร้อมที่จะเบียดเข้าวิน
เลือกตั้งครั้งนี้ถึงคราวที่สนามเลือกตั้งทั้ง 10 เขตของ จ.ขอนแก่น ผู้แทนหน้าใหม่พรรคใหม่มีโอกาสได้เกิดสักที หลังถูกมนต์ดำ “นช.ทักษิณ” ครอบงำนานกว่าทศวรรษ โดยเฉพาะเขตเลือกตั้งที่ 1 เจ้าถิ่นอย่าง นายจักริน พัฒน์ดำรงจิตร ผูกขาดมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทยมีสิทธิถูกโค่นเก้าอี้ ส.ส.สูงมาก คู่แข่งเปิดหน้าท้าชิงมาแล้วทั้งจาก “พลังประชารัฐ” นายภพธร แก้วขัน และนายวิฑูรย์ กมลนฤเมธ จาก “รวมพลังประชาชาติไทย”
ผู้ท้าชิงจากทั้ง 2 พรรคถือว่าน่ากลัวมากสำหรับนายจักริน ลูกชายมังกรอีสาน “เสี่ยเล้ง” ที่เขี้ยวเล็บแทบจะหลุดร่วงไม่เหลือแล้ว เพราะตัวนายจักรินเองแม้เคยเป็น ส.ส.ติดต่อกันถึง 4 สมัย แต่ไม่มีผลงานที่ชาวขอนแก่นจับต้องได้แม้แต่ชิ้นเดียว ที่ถูกเลือกเพราะกระแสพรรค และกระสุนเงินล้วนๆ
ขณะที่ นายภพธร จากพลังประชารัฐ กระแสพรรคกำลังมาแรงจากนโยบายประชานิยมแจกแหลกบัตรคนจน และยังมีอำนาจที่มองไม่เห็นจากภาคส่วนราชการคอยหนุนทุกทาง ส่วนคู่แข่งอีกรายจากพรรคลุงกำนัน นายวิฑูรย์ ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน แม้กระแสพรรคแผ่วเบา แต่จุดขายตัวบุคคล ความเป็นนักธุรกิจภาพลักษณ์ดี ถือว่าเหนือกว่านายจักริน และนายภพธร ชนิดที่เรียกว่า ฟ้ากับดิน
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นการแข่งขันช่วงชิงคะแนนเสียงจากผู้สมัครทั้ง 3 พรรคดังกล่าวเกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งที่ 1 หลังถูกผูกขาดจากเสาไฟต้นไม้ใบหญ้ามานานกว่า 15 ปี ผู้สมัครแต่ละรายต่างมีจุดเด่น จุดด้อย จุดขาย ชนิดที่ต้องแลกกันหมัดต่อหมัดจนกว่าผู้ใช้สิทธิจะเดินเข้าคูหากาคะแนน
รายแรก “เสี่ยเต๋า” นายจักริน ยังยืนหยัดลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย ไม่ดรามาย้ายไปพรรคในเครือข่ายที่ตั้งขึ้นสำรอง คนใกล้ตัวบอกว่าเลือกตั้งครั้งนี้เสี่ยเต๋า ซีเรียสมาก ถ้าพลาดถูกชิงเก้าอี้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าชีวิตทางการเมืองปิดฉากถาวร แต่ข้อได้เปรียบของเขาคือ เป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว ผนวกกับแบรนด์ “เพื่อไทย” ที่มี นช.ทักษิณ เป็นโลโก้ยังขายได้สำหรับฐานเสียงหลักชาวชุมชนในเขตเทศบาลนครขอนแก่นที่มี 95 ชุมชน เชื่อว่าชาวชุมชนเกินกว่าครึ่งยังหนุนเขาอยู่
ส่วนข้อเสียเปรียบของจักริน ก็มีไม่น้อย ไม่เป็นที่ยอมรับของชาวตลาดกลุ่มร้านค้าตึกแถวหรือชนชั้นกลางขึ้นไปในเขตเมือง กลุ่มนี้มีการศึกษา รู้เท่าทันและชี้นำไม่ได้
รายที่สอง นายภพธร จากพรรคพลังประชารัฐ หากเป็นสินค้า นายภพธรด้อยกว่าคู่แข่งในสนามอย่างมาก ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่มีข้อได้เปรียบชนิดที่คู่แข่งต้องพร้อมรับกับความพ่ายแพ้ เพราะกระแสพลังประชารัฐมาแรงมากจากแรงอัดนโยบายประชานิยม แค่ชู “ลุงตู่” เป็นนายกฯ สานต่อนโยบายแจกแหลกบัตรคนจน และรักษาความสงบของบ้านเมือง ที่สำคัญมีนายเอกราช ช่างเหลา ผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น เจ้าของสโมสรฟุตบอลขอนแก่น ยูไนเต็ด เป็นกุนซือวางแผนจัดตั้งคะแนนเสียงให้ แค่นี้ก็ลอยลำ
รายที่สาม นายวิฑูรย์ ประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น อดีตผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานภาค 4 อดีตกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด อดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี คราวก่อนเกือบจะลงสมัครเลือกตั้งเขต 1 ในสีเสื้อพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีปัญหาภายในบางอย่างจึงปฏิเสธ มาครั้งนี้ลงสมัครในนามพรรครวมพลังประชาชาติไทย ข้อได้เปรียบของเขา เป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มชนชั้นกลาง พ่อค้านักธุรกิจเมืองขอนแก่นมานาน
นายวิฑูรย์ ยอมรับว่าในสนามเลือกตั้งเขาเป็นรองผู้สมัครจากทั้ง 2 พรรคเป็นอย่างมาก รายหนึ่งก็เป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย อีกรายแม้ตัวตนของผู้สมัครจะโลว์โปรไฟล์แต่กระแสพรรคพลังประชารัฐมาแรงมาก มีเครื่องมือ มีเครือข่ายคนของรัฐคอยหนุน แต่ตนก็จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้ชาวขอนแก่นเห็นถึงศักยภาพว่าหากเลือกตนเข้าไปเป็นผู้แทนแล้วจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองขอนแก่นในทางที่ดีขึ้น
จ.ขอนแก่น เมื่อเทียบกับนครราชสีมา บุรีรัมย์แล้วถือว่าพัฒนาไปได้น้อยและช้ากว่า ทั้งที่เป็นหัวเมืองใหญ่ของภาคอีสาน ขอนแก่นขาดนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์คอยสนับสนุน ไม่มีผู้นำหัวก้าวหน้าในเรื่องการพัฒนา ทั้งที่มีจุดแข็งที่จังหวัดอื่นไม่มี คือ ภาคธุรกิจเอกชนผนึกกำลังกันเหนียวแน่นขับเคลื่อนการพัฒนาด้านต่างๆ ชนิดที่ส่วนราชการต้องกลายเป็นผู้ตาม แต่ก็เดินหน้าอะไรได้ไม่สะดวกนักเพราะไม่มีภาคการเมืองช่วยดัน
“จุดอ่อนในข้อนี้ผมขออาสาเข้าไปเติมเต็มหากได้รับความไว้วางใจจากชาวขอนแก่น จะเป็นตัวกลางในการรับลูกผลักดันแผนยุทธศาสตร์โครงการพัฒนาต่างๆ ร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่กับกระทรวงที่รับผิดชอบ หรือฝ่ายบริหารในรัฐบาล หากบูรณาการทำงานอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้เมืองขอนแก่นพัฒนาได้รวดเร็วมาก” นายวิฑูรย์ กล่าว และบอกอีกว่า
พรรครวมพลังประชาชาติไทยไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจเหมือนอย่างที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ ทางพรรคมีแผนชัดเจนที่จะจัดตั้งสาขาในหัวเมืองใหญ่ในทุกภูมิภาค ภาคอีสานจะมีสาขา 4 จังหวัด คือ ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี และนครราชสีมา โดยทุกจังหวัดที่เปิดเป็นสาขาของพรรคจะต้องใช้พื้นที่ 10-20 ไร่เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้อาชีพ แปลงสาธิตด้านการเกษตร เปิดอบรมวิชาชีพหลักสูตรต่างๆ ให้แก่พี่น้องประชาชนนำไปทำมาหากิน สร้างรายได้ ขณะที่ศูนย์ประสานงานจะมีอยู่ทุกจังหวัดเพื่อดูแลสมาชิกพรรค
สรุปโดยภาพรวมแล้ว สนามเลือกตั้งเขต 1 ขอนแก่นคราวนี้การแข่งขันมีสีสันและดุเดือดมากกว่าทุกเขต เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน นายจักริน จากเพื่อไทยไม่ใช่ของตายอีกต่อไป เขาต้องรักษาฐานคะแนนใหญ่ของตัวเองในกลุ่มชาวชุมชนเขตเทศบาลนครไว้ให้ได้มากที่สุด และต้องยอมควักเงินลงทุนมากขึ้น จะขี้เหนียวเหมือนเดิมไม่ได้อีก
อย่าลืมว่าตัวเต็งคู่ชิงเก้าอี้ที่สูสีจากพรรคพลังประชารัฐ นายภพธร นั้นนอกจากมีกระแสพรรคเป็นตัวช่วยแล้ว ยังมีนายเอกราช ช่างเหลา คอยกดปุ่มซ้ายขวาอยู่ข้างหลัง ยอมลงทุนเพิ่มเพื่อให้ชาวชุมชนหันมากาบัตรให้นายภพธร แทนให้ได้
ขณะที่ นายวิฑูรย์ จากพรรคลุงกำนันก็มองข้ามไม่ได้ ด้วยต้นทุนทางสังคมสูง แม้เข้าไม่ถึงคะแนนเสียงกลุ่มชาวชุมชน แต่โอกาสที่จะเบียดคู่แข่งจากทั้ง 2 พรรค คว้าเก้าอี้ ส.ส.ไปนั่งก็มีไม่น้อยเช่นกัน หากเขาสามารถใช้คอนเนกชันพรรคพวกนักธุรกิจและเพื่อนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยขอนแก่นช่วยกันปลุกผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งที่เป็นบุคลากรและนักศึกษา ซึ่งมีกว่า 4 หมื่นเสียงตามทะเบียนราษฎรให้ตื่นตัวออกมาใช้สิทธิให้ได้มากที่สุด
สมรภูมิการแข่งขันเพื่อช่วงชิงเก้าอี้ ส.ส.เขต 1 ขอนแก่นครั้งนี้จึงมีสีสันและน่าจับตาเป็นอย่างมาก เมื่อกระแสสังคมไม่เหมือนเดิม สถานการณ์การเมืองเปลี่ยน ช้างมีสิทธิถูกล้มสูงถึง 100%!