ปปท.บุก รร.ที่อุบลฯตรวจสอบรายชื่อนักเรียนผี ผอ.รร.แจงเป็นเรื่องปกติของทุกโรงเรียน
อุบลราชธานี- ปปท.บุกโรงเรียนใน อ.ตาลสุม ตรวจสอบปริมาณนักเรียนเป็นโรงเรียนขนาดกลางจริงหรือไม่ สงสัยอัพตัวเลขเอื้อให้ผู้บริหารย้ายไปกินตำแหน่งในโรงเรียนขนาดใหญ่ เบื้องต้นพบตัวเลขขึ้นลงอย่างน่าสงสัย ด้าน ผอ.แจงตัวเลขไม่นิ่งเหมือนกันทุกโรง
เมื่อบ่ายวานนี้ 29 พ.ย.61 พ.ต.ท.วันนพ สมจิมตมากุล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ท. พร้อมเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.เขต 3 นครราชสีมา เข้าตรวจสอบบัญชีรายชื่อจำนวนนักเรียนของโรงเรียนตาลสุมพัฒนา ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาประจำอำเภอตามสุม จ.อุบลราชธานี หลังมีการร้องเรียนในพื้นที่ภาคอีสานมีการแต่งตัวเลขจำนวนนักเรียนให้สูงเกินจริง เพื่อให้ผู้บริหารใช้โยกย้ายจากโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ข้ามขั้นไปยังโรงเรียนขนาดใหญ่ รวมทั้งยังได้เงินรายหัวใช้ในการบริหารจัดการเรียนการสอน โดยไม่มีตัวผู้เรียนอยู่กับโรงเรียนจริง
ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบตัวเลขพบว่า มีการระบุตัวเลขของนักเรียนประจำปีการศึกษา 2561 ในวันที่ 1 มิ.ย.2561 จำนวน 527 คน แต่มีนักเรียนที่มีอยู่จริง 494 คน โดยในจำนวน 494 คน พบว่าส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนที่ยังติด 0 และติด ร. ซึ่งต้องมาแก้ก่อนขอจบการศึกษา
อีกส่วนเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้น ซึ่งอยู่ในภาคบังคับ 15 ปี และเมื่อนักเรียนยังมีอายุไม่ถึง 16 ปี โรงเรียนไม่สามารถถอนชื่อออกจากบัญชีได้ แม้เด็กคนนั้น จะไม่มาเรียน หรือมาบ้างไม่มาบ้างก็ตาม เพราะเป็นข้อบังคับของกฏกระทรวง
อย่างไรก็ตามจากการตรวจนับจากบัญชีรายชื่อนักเรียนที่ครูประจำชั้นของโรงเรียนที่มี 15 ห้องเรียน พบมีรายชื่อนักเรียนเหลืออยู่จริงเพียง 406 คน แต่ทางด้านโรงเรียนชี้แจงว่า นอกจากมีปัญหาของนักเรียนที่ยังไม่มาแก้ไขให้ตนเองเรียนจบ หรือไม่สามารถจำหน่ายชื่อนักเรียนออกจากระบบได้ตามข้อบังคับของกฏกระทรวงแล้ว
จำนวนตัวเลขของนักเรียนที่เกินจำนวนตัวผู้มาเรียนจริง การเบิกจ่ายเงินสมทบหรือเงินอุดหนุน ในแต่ละภาคการศึกษา โรงเรียนก็ไม่สามารถเบิกออกมาใช้จ่าย ยกเว้นได้รับการยินยอมจากคณะกรรมการของโรงเรียน เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 2 ปี จะมอบให้โรงเรียนนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในภายหลัง
ว่าที่ร้อยตรีบรรจง ดอกอินทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนตาลสุมพัฒนากล่าวว่า ตนย้ายมารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา และพบตัวเลขจำนวนนักเรียนที่เข้าศึกษาจำนวน 527 คน ภายหลังมีจำนวนลดลงด้วยปัญหาของตัวผู้เรียนไม่พร้อม ออกจากบ้าน แต่ไม่เข้าโรงเรียน หรือเป็นนักเรียนที่ตั้งท้อง และไม่ยอมมาเรียน แม้ภายหลังจะให้ครูที่ปรึกษาไปติดตามตัวนักเรียนถึงที่พักอาศัยและในชุมชน ก็รับปากจำมาเรียนต่อ หรือรายที่ยังติด ร. ติด 0 ก็รีบปากจะมาแก้ แต่ก็ยังไม่มา บางครั้งหายตัวไป 2-3 ปี ถึงกลับมาแก้ไข เพราะต้องการวุฒิการศึกษาไปสมัครงานก็มี
โดยในส่วนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีปัญหามากที่สุด แต่ก็ไม่สามารถจำหน่ายชื่อของนักเรียนออกจากระบบของโรงเรียนได้ เพราะเป็นนักเรียนในภาคบังคับ 15 ปี โรงเรียนจำเป็นต้องคงชื่อนักเรียนไว้ตามข้อบังคับของกฏกระทรวง ซึ่งในจำนวนนักเรียนที่ยังติด ร. หรือติด 0 และยังไม่มาแก้ หรือนักเรียนภาคบังคับไม่มาเรียน ก็ไม่สามารถนำค่ารายหัวนักเรียนไปเบิกจากเงินค่าอุดหนุนได้ เพราะนักเรียนต้องมาเซ็นชื่อเบิกจ่ายเงินอุดหนุนกับทางโรงเรียนก่อน จึงยังคงมีเงินสนับสนุนคงค้างเหลืออยู่ในระบบ
ส่วนจะเป็นการอัพตัวเลข เพื่อให้อดีตผู้บริหารคนก่อนได้ข้ามชั้นไปอยู่โรงเรียนในระดับที่ใหญ่กว่าหรือไม่ ยืนยันไม่ได้ เพราะตนเพิ่งมารับตำแหน่ง รวมทั้งแนวโน้มตามโรงเรียนต่างๆมีจำนวนนักเรียนลดลง ทั้งจากปัญหาสังคม เรื่องการเงินของครอบครัว ปัญหาของตัวผู้เรียนเอง และการคุมกำเนิดที่ได้ผล และยืนยันทั้งหมดเป็นปัญหาที่ทุกโรงเรียนเจอเหมือนกันทั้งหมด
ด้าน พ.ต.ท.วันนพ สมจิมตมากุล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. รกท.แทนเลขาธิการ ป.ป.ท.กล่าวว่า ยอดของนักเรียนจะมีผลต่อเงินอุดหนุนรายหัว ซึ่งทาง สพฐ.ส่งมาให้เป็นรายคน เมื่อรายงานยอด 527 สพฐ.ก็จะส่งงบประมาณมาให้มากกว่าจำนวนนักเรียนที่มีอยู่จริง ส่วนเรื่องที่สองก็คือ เป็นเรื่องของขนาดโรงเรียน หากเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก(ต่ำกว่า 499 คน)
แต่รายงานเป็นโรงเรียนขนาดกลางที่มี นร. 527 คน (มี นร.ตั้งแต่ 500-1,499 คน) ก็จะกลายเป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีผลให้ผู้อำนวยการโรงเรียนย้ายจากโรงเรียนขนาดกลางไปขนาดใหญ่ได้เลย (รร.ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 1,500-2,499 คน) ทำให้มีผลในเรื่องของการย้ายของผู้อำนวยการโรงเรียนด้วย
ซึ่งหลังจากนี้ ป.ป.ท.จะตรวจสอบใครเป็นคนรายงานยอดนักเรียน ใครเป็นคนรับรอง และมีใครเกี่ยวข้องบ้าง รวมทั้งมีเจตนาเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง ถ้าเจตนาก็มีความผิดทางอาญา และการใช้จ่ายยอดงบประมาณได้รับเกินมาจากยอดที่มีอยู่จริงก็มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และรับผิดชอบต่อเงินที่จ่ายออกไปถูกต้องหรือไม่