ลำปาง - ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง เปิดเวทีเสวนาการสร้างรัฐสวัสดิการหลังเลือกตั้งปี 62 ตัวแทน 6 พรรคการเมืองหนุนเต็มที่ หน.พรรคอนาคตใหม่ชี้ต้องลดงบบางอย่างช่วย แถมย้ำงบกองทัพเยอะกว่างบบัตรทอง ขณะที่ “อภิสิทธิ์-เผ่าภูมิ” โต้กันยาว ทั้งปมขึ้นภาษี ยันจำนำข้าว
สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ลำปางได้จัดเวทีเสวนาวิชาการ หัวข้อ “การสร้างรัฐสวัสดิการ ผ่านการเลือกตั้งปี 62” ตลอดบ่ายวานนี้ (29 พ.ย.) ที่ห้องประชุมภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ลำปาง ท่ามกลางนักศึกษา ประชาชน นักการเมืองท้องถิ่น และผู้ที่สนใจการเมืองเข้าร่วมฟังเต็มห้องประชุม
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการ ซึ่งเป็นอดีตประธานและอดีตรองประธานนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แบ่งการเสวนาออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกให้ตัวแทนพรรคการเมืองรวม 6 พรรคที่มาร่วมเสวนา ประกอบด้วย ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เมตตานันโท เลขาธิการพรรคประชาชนปฏิรูป, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ, นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายบุญส่ง ชเลธร พรรคเสรีรวมไทย พูดถึงความเป็นไปได้ของการสร้างรัฐสวัสดิการหากการเลือกตั้งในปี 2562 เสร็จสิ้นแล้ว คนละ 10 นาที
ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทางพรรคคิดเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งการที่มีการกระจายทรัพยากรไปยังกลุ่มที่สามารถสร้างเศรษฐกิจทางสังคมได้ทำให้เราสร้างรายได้และทำให้สวัสดิการใช้ได้ยาวนาน
ขณะที่นายธนากร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เห็นด้วยที่จะให้มีรัฐสวัสดิการ โดยยืนยัน 5 ข้อหลัก คือ 1. รัฐสวัสดิการได้มาโดยไม่ต้องร้องขอและไม่ได้มาจากความเมตตาจากชนชั้นนำ 2. รัฐสวัสดิการต้องเดินไปพร้อมกับการพัฒนาประชาธิปไตย 3. ประเทศไทยมีทรัพยากรเพียงพอที่จะสร้างรัฐสวัสดิการที่ดีได้ 4. รัฐสวัสดิการคือการปลดปล่อยศักยภาพของประชาชน ปลดปล่อยศักยภาพของประเทศไทย 5. ถ้าอยากได้รัฐสวัสดิการก็ต้องทำลายโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมที่ค้ำยันสังคมไทยอยู่ ควรเก็บภาษี ลดงบประมาณบางอย่างที่ไม่คุ้มค่า และเมื่อมาดูงบกองทัพตั้งแต่ปี 49 งบกองทัพมากกว่างบบัตรทอง
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะเสนอและขอความชัดเจนจากพรรคการเมือง และเป็นหัวใจในการยกระดับประเทศไทย ส่วนสิ่งที่จะเร่งรัดให้ประเทศไทยจัดตั้งรัฐสวัสดิการมี 3 ประเด็น คือ ประเทศไทย กำลังเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ความเหลื่อมล้ำในสังคม และความก้าหน้าทางเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ต้องให้ประชาชนรู้ก่อนว่าสิ่งไหนที่เป็นสิทธิของประชาชน และสิทธิดังกล่าวต้องเป็นแบบสวัสดิการถ้วนหน้า แต่ที่ผ่านมามีข้อจำกัด คือ สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเฉพาะการเมือง แม้จะมาจากประชาธิปไตยก็ไม่ได้รับประกันว่าจะเอาเรื่องรัฐสวัสดิการ เพราะการเมืองที่อยู่กับระบบอุปถัมภ์และอำนาจหลายยุคหลายสมัยต้องการนำรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องการใช้ระบบทุนนิยมมาตอกย้ำระบบอุปถัมภ์
“บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะยกเลิกเงื่อนไขที่จะนำไปใช้ซื้อเฉพาะร้านธงฟ้า แต่ควรจะนำไปซื้อร้านค้าชาวบ้านด้วยกันได้ การเมืองจะเดินหน้าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด”
ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เมตตานันโท เลขาธิการพรรคประชาชนปฏิรูป กล่าวว่า ประชาชนใช้เหตุผลมากกว่าความเชื่อในพระพุทธศาสนา อยากเห็นสังคมเป็นสังคมเอื้ออาทรกัน
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ต้องขจัดการผูกขาด ต้องมีเศรษฐกิจทางเลือก เศรษฐกิจฐานคุณธรรม
นายบุญส่ง ชเลธร พรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า จนกว่าการเลือกตั้งเสร็จตนจะสวมใส่ถุงเท้าสองสีเพื่อประท้วง เพราะยังเห็นว่าทุกวันนี้ประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำกันมาก มีช่องว่างระหว่างจนคนรวยมาก สังคมมีความสลับซับซ้อนมาก รัฐต้องเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง อย่าพูดเฉยๆ แต่ต้องลงมาทำ ซึ่งการจะแก้ความเหลื่อมล้ำได้ต้องมีรัฐสวัสดิการเท่านั้น แต่จะทำได้ต้องมี 1. มีพรรคนำ กระบวนการทางการเมืองนำ 2. ต้องมีการปฏิรูปการจัดเก็บภาษี 3. ป้องกันการรั่วไหลให้ได้ และ 4. เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้มแข็ง
นายบุญส่งยังตั้งคำถามในที่เสวนาว่า หากทุกคนเป็นนายกฯ วันนี้และมีเงินให้ใช้หมื่นล้านจะเอาไปทำอะไร จะเอาไปซื้อเรือเหาะ ซื้อรถถัง หรือเรือดำน้ำไหม..!?
และในช่วงที่ 2 ได้มีการเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้เสนอแนวคิดของพรรคตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อสร้างรัฐสวัสดิการ ปรากฏว่า ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่บอกว่าการเก็บภาษีทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะทางอ้อมจะมีการนำภาษีไปเป็นเงินออมให้กับผู้ที่จ่ายภาษีว่า ไม่เห็นด้วยและคงไม่เข้าใจหลักการด้านเศรษฐกิจ เพราะการขึ้นภาษีเพื่อนำเงินไปใช้บั้นปลายชีวิตนั้น ไม่ถูกต้องและไม่ยั่งยืน แต่ควรจะนำมาใช้ในตอนเด็กเพื่อนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ต่อไป
หลัง ดร.เผ่าภูมิพูดจบ นายอภิสิทธิ์ได้ขอใช้สิทธิพาดพิงว่าไม่ได้พูดว่าจะไปขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ในขณะนี้มีการพูดถึงเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะมีบางพรรคไปลดภาษีรายได้นิติบุคคลแต่ไม่เป็นไปตามหลักที่พูดเลย ที่ว่าจะเอาเงินที่ได้ไปให้คนที่จะใช้เงิน แต่ภาษีที่ถูกยกเลิกไปกว่าแสนล้านบาทเข้าไปอยู่ในกระเป๋าธุรกิจ 4 สาขาหลัก ไม่ได้ออกมาหมุนเวียน
แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องความยั่งยืนเทียบง่ายคือ ระบบประกันรายได้ ใช้เงินประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ยกระดับแก้ปัญหาเกษตรกรทุกระดับ แต่ระบบจำนำข้าว ถ้าบอกว่ายั่งยืนก็ต้องบอกว่าทิ้งหนี้ไว้ให้รัฐบาลชุดต่อไป 3 หมื่นล้านบาท เป็นเวลา 10 ปี
ดร.เผ่าภูมิ และนายอภิสิทธิ์ ขอใช้สิทธิ์พูดตอบโต้กันในวงเสวนาหลายรอบ ท่ามกลางผู้เข้าร่วมเสวนาส่งเสียงเชียร์กันเป็นระยะ