กาฬสินธุ์ - เครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ เตรียมระดมพลังคนพิการนับหมื่นตบเท้าเรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ขณะที่ จ.กาฬสินธุ์จ่อคิวฟ้อง ป.ป.ช.เช็กบิลเจ้าหน้าที่รัฐเอี่ยว ผิด ม.157 และ ม.200 ด้านผู้ปกครองคนพิการฯ เรียงหน้าแฉเพิ่ม
จากกรณีตัวแทนผู้ปกครองคนพิการใน จ.กาฬสินธุ์ ร้องเรียนเรื่องเงินค่าแรงผู้ดูแลคนพิการ โครงการจ้างเหมาบริการตามมาตรา 35 คนละ 1 แสนบาทต่อปี หรือเดือนละเกือบหมื่นบาท ถูกชมรมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญา จ.กาฬสินธุ์ ยักยอกด้วยวิธีให้เปิดบัญชีทำงาน จากนั้นเก็บบัตรเอทีเอ็มและสมุดบัญชีก่อนจ่ายให้รายเดือนแค่คนละ 2,000-4,000 บาท ขณะที่มีการโอนเงินเข้าจริงเกือบหมื่นบาท เชื่อมีขบวนการสูบเลือดคนพิการแฝงในระดับชมรมถึงระดับสูง เรียกร้องเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ์ตรวจสอบ
ขณะที่นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมอบหมายให้นายสนั่น พงษ์อักษร รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ กำกับดูแล ล่าสุดนายปรีดา ลิ้มนนทกุล ประธานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ เดินทางมาติดตามผลการตรวจสอบจากทาง จ.กาฬสินธุ์ และนางฐานิดา อนุอัน ผู้ร้องเรียนหมายเลข 1 เรียกร้องคนพิการออกมาทวงสิทธิตามข่าวที่เสนอแล้วนั้น
ล่าสุด วันนี้ (7 พ.ย.) นายปรีดา ลิ้มนนทกุล ประธานเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ เปิดเผยต่อว่า ปัญหาเรื่องร้องเรียนผู้ปกครองคนพิการที่ได้รับสิทธิจ้างเหมาบริการ ตามมาตรา 35 รวมทั้งร้องเรียนกองทุนคนพิการต่างๆ โดยผ่านสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.) นั้น จากทั่วประเทศมีเรื่องร้องเรียนเข้ามา 15 จังหวัด ทั้งนี้ จากการรวบรวมหลักฐานภายในวันนี้จะนำสำนวนส่งฟ้องศาลในกรณี 3 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรสาคร
โดยเบื้องต้นเครือข่ายพิทักษ์สิทธิคนพิการ ได้ส่งหนังสือร้องเรียน ไปยังสำนักงาน ปปง., ป.ป.ช., ป.ป.ท., สตง., ดีเอสไอ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมตรวจสอบ และพิจารณากรณีเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิและปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ลำดับต่อจากนี้ไปก็จะติดตามเรื่องเพื่อขอทราบผลในเร็ววัน เนื่องจากเป็นความเสียหายต่อองค์กร และกระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบข้าราชการ ที่สำคัญต้องสร้างความตระหนัก ในเรื่องความสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส ร่วมกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นตามนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นายปรีดากล่าวอีกว่า จากปัญหาที่เกิดเรื่องร้องเรียนที่ จ.กาฬสินธุ์ พบว่ามีหลักฐานชัดเจนที่มีเจ้าหน้าที่ภาครัฐเข้าไปให้ความช่วยเหลือชมรมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาฯ มีพฤติการณ์สงสัยไม่โปร่งใส โดยเฉพสาะในส่วนการแก้ไขเอกสาร จึงเป็นที่มาของการส่งเรื่องร้องเรียนต่อองค์กรอิสระ และสายงานบังคับบัญชา เพื่อตรวจสอบตามขั้นตอน โดยจะได้ระบุรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ยื่นร้องต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนทั้งวินัยและอาญา ส่งฟ้องศาลต่อจากกรณีกรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรสาคร
“กรณี จ.กาฬสินธุ์นี้ จากพฤติกรรมที่ปรากฏส่อไปในทางที่คอยช่วยเหลือ บิดเบือนหลักฐาน ไม่นำผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เข้าข่ายความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรืออาจเข้าข่ายกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่ง อันเป็นการมิชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลใดมิให้ต้องโทษ หรือรับโทษน้อยลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200” นายปรีดากล่าว และว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในหลายๆ จังหวัดในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเมินความเสียหายปีละ 1,500 ล้านบาท จึงเป็นประเด็นที่ต้องสงสัยว่าทำเป็นขบวนการ
อย่างไรก็ตาม ทางเครือข่ายพิทักษ์สิทธิได้ต่อรองกับผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และกระทรวงแรงงานถึงกลาง พ.ย.เดือนนี้ว่าจะดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ในสังกัดที่มีส่วนเกี่ยวข้องปัญหาการร้องเรียนอย่างไร หากไม่มีคำตอบชัดเจนก็จะยกระดับการเคลื่อนไหวต่อไป คาดว่าจะมีคนพิการและเครือข่ายนับหมื่นคนทั่วประเทศตบเท้าออกมาเรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรมถึงสำนักนายกรัฐมนตรี
ด้านนางปุนิกา เกริกชัยสกุล อายุ 52 ปี บ้านเลขที่ 77/1 ถนนหน้าเรือนจำ ต.กาฬสินธุ์ อ.เมืองฯ จ.กาฬสินธุ์ ป้าน้องอาก้า เด็กชายพนธกร ซาเศรษฐ์ อายุ 11 ปี ผู้ปกครองที่ได้รับสิทธิตามมาตรา 35 กับชมรมผู้ปกครองคนพิการ จ.กาฬสินธุ์ รุ่นแรกปี 2560 กล่าวว่า พอเห็นนางฐานิดา อนุอัน ออกมาเชิญชวนผู้ปกครองคนพิการออกมาทวงสิทธิจึงได้ชักชวนผู้ปกครองอีกหลายรายออกมาร้องเรียนกับเครือข่ายพิทักษ์สิทธิ พร้อมแจ้งข้อมูลว่าได้รับการกระทำจากประธานชมรมผู้ปกครองคนพิการ จ.กาฬสินธุ์ในลักษณะเดียวกัน คือถูกปกปิดข้อมูล ไม่รู้รายละเอียดของสัญญาที่ทำกับบริษัทไทยเอ็น โอเค จำกัด จึงไม่เคยรู้ว่าความจริงว่าได้รับค่าจ้างเดือนละ 9,125 บาท เพิ่งจะมารู้ตอนที่นางฐานิดาออกมาร้องเรียนดังกล่าว
นางปุนิการะบุว่า ที่รู้จากประธานชมรมผู้ปกครองคนพิการ จ.กาฬสินธุ์ คือ เมื่อผู้ปกครองนำบุตรหลานที่มีความพิการทางสติปัญญามาเป็นสมาชิกชมรมซึ่งมีโควตาปีละ 10 คน จะได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ซึ่งแต่ละคนได้รับไม่เท่ากัน เดือนละ 4,000-4,500 บาท บางคนได้เดือนละ 2,000 บาท ขึ้นอยู่กับอำนาจของประธานชมรม เช่น บ้านใกล้ บ้านไกล หรือมาเข้าชมรมสัปดาห์ละ 3 วันหรือไม่ แต่ที่ทราบกันคือได้รับค่าจ้างเพียง 10 เดือน ส่วนอีก 2 เดือนถูกหักเข้าชมรม
“ปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ปกครองคนพิการออกมาร้องเรียน เพราะไม่รู้รายละเอียดในสัญญา และเข้าไม่ถึงสิทธิคนพิการตามกฎหมาย พอมีการร้องเรียนเกิดขึ้น จึงรู้ว่าถูกลิดรอนสิทธิ และถูกสวมสิทธิมา 2 ปี จึงได้ออกมาเป็นแนวร่วมกับนางฐานิดา และพร้อมจะเดินหน้าทวงสิทธิ และเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่คนพิการใน จ.กาฬสินธุ์ และทั่วประเทศ” นางปุนิกากล่าว