ระยอง - กลุ่มประมงใน จ.ระยอง ยันจะยื่นอุธรณ์ฟ้อง “พีทีทีจีซี” เหตุท่อน้ำมันรั่วลงทะเลเมื่อปี 56 หลังศาลจังหวัดระยอง พิจารณาคดีให้จ่ายค่าเสียหายแก่กลุ่มประมง พ่อค้าแม่ค้าอาชีพต่อเนื่อง รายละ 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ก.ย.) กลุ่มประมงและกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าซึ่งทำอาชีพประมงต่อเนื่อง รวม 429 คน ได้พากันเดินทางมายังศาลจังหวัดระยอง เพื่อรับฟังคำพิพากษาคดี ให้บริษัท พีทีทีจีซี จำกัด (มหาชน) จ่ายค่าเสียหายแก่กลุ่มประมง รายละ 90,000 บาท พ่อค้าแม่ค้าซึ่งทำอาชีพประมงต่อเนื่องรายละ 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี หลังกลุ่มประมงได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายต่อบริษัทดังกล่าว จากเหตุท่อน้ำมันดิบแตกรั่วไหลลงทะเลปริมาณ 50,000 ลิตร เมื่อวันที่ 27 ก.ค.2556 จนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำ รวมทั้งกลุ่มอาชีพประมงและกลุ่มอาชีพต่อเนื่อง พร้อมทั้งเรียกร้องให้บริษัทดังกล่าว ฟื้นฟูทะเลอ่าวระยอง
โดยกลุ่มประมงได้เดินทางมาพร้อมกับ นายชาญวิทย์ อร่ามฤทธิ์ ดร.อาภา หวังเกียรติ และทีมทนายความซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า การเดินทางมาศาลในวันนี้ ก็เพื่อรับฟังการพิจารณาคดีเรื่องการฟื้นฟูทะเลระยอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลแพ่ง ได้ตัดสินไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลุ่มชาวประมงยังเห็นว่าการพิจารณาคดีของศาลแพ่งเรื่องการฟื้นฟูทะเลยังได้หลักฐานไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญที่เน้นกรณีพบคราบน้ำมันที่เกาะเสม็ด ซึ่งการที่โจทก์ฟ้องคดี ได้ชี้ให้เห็นคราบน้ำมันบริเวณทะเลตามแนวหาดระยองที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำของกลุ่มประมง ไม่ใช่คราบน้ำมันที่เกาะเสม็ด
“แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการอุทธรณ์คดี กรณีที่ศาลแพ่งสั่งฟื้นฟูฯ ว่าเป็นเรื่องที่ครอบคลุมทั้งอ่าวระยองหรือไม่ ส่วนประเด็นที่สอง เป็นเรื่องค่าเยียวยาความเสียหาย ซึ่งศาลสรุปว่า ให้บริษัทดังกล่าวจ่ายค่าความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทุกคนๆละ 3 เดือน โดยกลุ่มประมงจะได้ค่าเสียหาย 3 เดือนๆ ละ 30,000 บาท เป็นเงินรวม 90,000 บาท แต่เนื่องจากทุกคนได้รับเงินเยียวยามาแล้วคนละ 30,000 บาท จึงคงเหลืออีกรายละ 60,000 บาท ส่วนกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าอาชีพประมงต่อเนื่องจะได้คนละ 60,000 บาท โดยให้หักเงินจากเงินที่ได้รับการเยียวยามาแล้ว ส่วนที่เหลือให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีตั้งแต่วันที่เกิดเหตุน้ำมันรั่ว”
นายชาญวิทย์ ยังกล่าวอีกว่า จากการสอบถามกลุ่มประมงผู้ฟ้องคดีหลายราย ยังคงยืนยันที่จะให้ทนายความยื่นอุทธรณ์ในคดีต่อไป เพราะจุดประสงค์หลักของการฟ้องร้องไม่ใช่เรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของการขอให้บริษัทผู้ก่อเหตุทำการฟื้นฟูทะเลระยอง เพราะสัตว์น้ำเป็นทรัพย์สินที่สามารถทำกินเป็นอาชีพได้ตลอดไป แต่เงินใช้ไม่นานก็หมด
