xs
xsm
sm
md
lg

อดีตรองนายกฯ พัทยาทิ้งทวน จี้ทวงคืนพื้นที่สาธารณะจาก "บ้านสุขาวดี"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ศูนย์ข่าวศรีราชา - อดีตรองนายกเมืองพัทยาทิ้งทวน จัดการบ้านสุขาวดี เตรียมขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เพื่อนำคดีขึ้นสู่ชั้นศาล หวังเอาพื้นที่สาธารณะคืนให้แก่ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้

วันนี้ (27 ก.ย.) นายวิเชียร พงษ์พานิช อดีตรองนายกเมืองพัทยา ชี้แจงความคืบหน้าการรุกล้ำที่ดินสาธารณะของ “บ้านสุขาวดี” ในที่ประชุมสภาเมืองพัทยาก่อนลงจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ว่า สำหรับการดำเนินการต่อบ้านสุขาวดีนั้น มีการดำเนินการเอาผิดในหลายส่วน ไม่เพียงแค่กรณีของการรุกล้ำที่สาธารณะบริเวณชายหาดเท่านั้น แต่กลับมีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำที่สาธารณะ ทั้งการสร้างอาคารบนทางเท้าสาธารณะ ซึ่งเมืองพัทยาได้มีการปิดหมายดำเนินการให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวไปแล้ว

ที่ผ่านมา ก็สามารถทวงคืนทางสาธารณประโยชน์กลับคืนมาได้บางส่วน โดยเฉพาะกรณีถนนที่ต่อเชื่อมกับซอยบางละมุง 8 ขนาด 6/150 เมตร แต่จากการลงพื้นที่ไปตรวจสอบครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา กลับพบว่า ทางบ้านสุขาวดีได้มีการนำรถบัสโดยสารขนาดใหญ่ จำนวน 2 คัน พร้อมกับมีการทำรั้วเหล็กมาปิดกั้นจนประชาชนไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งในส่วนนี้เมืองพัทยาจะมีการแจ้งความดำเนินคดีเช่นกัน

ทั้งนี้ สำหรับการดำเนินการรุกล้ำที่สาธารณะ “บ้านสุขาวดี” มีด้วยกัน 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.การรุกล้ำพื้นที่ด้านหลังบนทางเท้าสาธารณะริมทะเล โดยมีการนำหญ้าเทียมมาปูบนเส้นทางเท้า พร้อมทั้งมีการนำเก้าอี้มาจัดวาง ซึ่งในส่วนนี้ทางเมืองพัทยาได้มีการแจ้งความดำเนินคดีอาญาไปแล้วเมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคม ขณะนี้เรื่องอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา

เรื่องที่ 2 เป็นส่วนที่เมืองพัทยาได้มีการสั่งให้รื้อถอนอาคารออกไปแล้ว ที่ต่อเชื่อมกับซอยบางละมุง 8 ความยาว 150 เมตร ซึ่งกรณีนี้ทางบ้านสุขาวดีให้ความร่วมมือด้วยดี และดำเนินการจนเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ล่าสุด กลับมาทำรั้วเหล็กกั้นทางสาธารณะไว้ จึงมอบหมายให้นิติกรเมืองพัทยา เสนอให้นายกเมืองพัทยาเพื่อแจ้งความดำเนินคดี

ส่วนที่ 3 คือ อาคารที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะขนาด 11 ไร่ริมทะเล กรณีนี้เมืองพัทยา ได้ร่วมกับสำนักงานที่ดินอำเภอบางละมุง ลงตรวจสอบ กระทั่งมีการปิดหมายคำสั่งห้ามใช้อาคาร พร้อมให้เจ้าหน้าที่นำเทปไปล้อมรอบตัวอาคารทั้งหมด เนื่องจากตรวจพบว่า บริเวณนี้เป็นที่สาธารณประโยชน์ ดังนั้น การที่ผู้ใดบุกรุก หรือครอบครองถือเป็นการกระทำความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ ตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ต้องระวางโทษตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินกำหนดไว้ จึงให้ดำเนินการรื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างบนที่สาธารณะ ตามด้วยการปิดหมาย ค.7 หรือหมายคำสั่งรื้อถอนอาคารตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 กรณีก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร กระทำการโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ โดยทางเมืองพัทยาได้แจ้งให้ทางผู้รับผิดชอบทำการรื้อถอนอาคารโครงเหล็ก 1 ชั้น ขนาด 25x61 เมตร จำนวน 1 หลัง ที่ใช้เป็นเวที ห้องครัว และป้ายขนาด 7X9 เมตร จำนวน 2 ป้าย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2561

รวมไปถึงการปิดหมาย ค.4 ที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้อาคารหลังดังกล่าว และหมาย ค.3 เพื่อระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ตามาตรา 10 วรรค 1 และมาตรา 41 วรรค 1 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ซึ่งปัจจุบันเมืองพัทยาได้มอบหมายให้นิติกรทำการรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามลำดับ แต่ปรากฏว่า ล่าสุด พบว่าทางบ้านสุขาวดีไม่ได้มีการรื้อถอนตามหมาย และวัสดุที่ใช้ปิดล้อมรอบอาคารไว้ก็ถูกเอาออกทั้งหมด ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวก็ถือเป็นความผิดอีกคดีหนึ่ง

นายวิเชียร กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของพื้นที่ดิน 11 ไร่นั้น ตามระวางของกรมที่ดินระบุว่า เป็นทะเล ซึ่งกรณีนี้หลังจากได้หารือกับนายอำเภอบางละมุงก็ถือว่าเป็นที่สาธารณะ จึงเสนอแนวทางในการเอาคืนพื้นที่สาธารณะแห่งนี้ โดยจะใช้วิธีการขอออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเพื่อนำคดีขึ้นสู่ชั้นศาล แต่หากเมืองพัทยาไปยื่นหนังสือขอออกหนังสือ นสล. เชื่อว่าจะต้องมีการคัดค้านอย่างแน่นอน ซึ่งหากมีการคัดค้านตามกระบวนการของกฎกระทรวงก็คือ การนำคดีขึ้นสู่ศาล โดยจากการพูดคุยกับทนายความของฝั่งบ้านสุขาวดีไปแล้วว่าไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ทางเมืองพัทยาจะมีการเสนอขอจากศาลเพื่อให้มีการตรวจสอบชั้นที่ดินอีกที โดยเชิญกรมทรัพยากรธรณี นำชั้นดินไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นที่ดินที่เกิดขึ้นจากอะไร เช่น การถมหรือที่งอก แต่หากจะมีการต่อสู้ว่าเป็นเรื่องที่ดินงอก ทางเมืองพัทยาก็จะสู้ในเรื่องการถมทะเล ซึ่งที่ผ่านมา กฤษฎีกาเคยตีความชัดเจนเรื่องที่ดินหน้าศาลาว่าการจังหวัดชลบุรี ที่ระบุว่า การถมทะเลนั้นจะมีสภาพในการใช้ประโยชน์ร่วมกัน และต้องอยู่ในอำนาจการดูแลของอำเภอ โดยการดำเนินการทั้ง 3 ส่วนของบ้านสุขาวดีนั้นทางเมืองพัทยาจะต่อสู้เอาคืนพื้นที่สาธารณะกลับคืนมาให้ได้อย่างแน่นอน

นายวิเชียร ชี้แจงต่อไปอีกว่า การดำเนินการต่อจากนี้จะมีการแจ้งความในส่วนที่มีการสร้างรั้วกั้นปิดประตูบนทางสาธารณะ ซึ่งการลงพื้นที่ล่าสุดไม่มีผู้บริหารบ้านสุขาวดีออกมาแต่อย่างใด เมืองพัทยาได้ให้พนักงานสอบสอนออกใบสั่งรถบัสทั้ง 2 คัน ที่จอดขวางทางสาธารณะ ทั้งนี้ ตัวเองมีความตั้งใจที่จะเอาคืนพื้นที่สาธารณะกลับคืนมาให้ใช้ประโยชน์ร่วมกันต่อไป การดำเนินการเอาคืนที่สาธารณะนั้นไม่ใช่การรังแกคนจน แต่ได้ดำเนินการอย่างเสมอภาคกันในทุกส่วน ไม่เลือกปฏิบัติคนจนหรือคนรวย ทั้งนี้ ก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง









กำลังโหลดความคิดเห็น