เชียงราย - รองอธิบดีกรมป่าไม้ รอง ผบ.ตร.นำทีมเจ้าหน้าที่ยึดไม้ประดู่กว่า 100 ท่อน รอส่งออกลงเรือน้ำโขงผ่านท่าเรือเชียงแสน หลังตามสอบถึงตอไม้แปลงที่ดินบุรีรัมย์-กาฬสินธุ์ พบรอยไม้ตรงกันท่อนเดียว
วันนี้ (20 ส.ค.) นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. นายพินิจ แก้วจิตคงทอง นายอำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย นายสมศักดิ์ เจียมสงวนวงศ์ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) นายทนงศักดิ์ ธรรมโม ผอ.ส่วนป้องกันฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ กกล.รส.มทบ.47 กอ.รมน.เชียงราย นรข.เขตเชียงราย ทหารพราน ร้อย ทพ.3103 ฉก.ทพ.31 ได้ร่วมกันตรวจยึดไม้ประดู่ท่อน จำนวน 133 ท่อน ของบริษัทคุ้ม เวียงไม้ จำกัด ที่ถูกอายัดเอาไว้ที่ท่าเรือพาณิชย์แม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ชายแดนไทย-สปป.ลาว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่า มีการขนไม้ประดู่ท่อนจำนวนมากมาที่ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนแห่งที่ 2 เพื่อเตรียมส่งออก จึงได้เข้าตรวจสอบพบท่อนไม้ดังกล่าววางกองไว้เตรียมส่งออกตามกระบวนการทางศุลกากร สอบถามทางเอกชนเจ้าของไม้แจ้งว่า นำมาจากที่ดินกรรมสิทธิ์พื้นที่ จ.บุรีรัมย์ และ จ.กาฬสินธุ์ รวมจำนวน 6 โฉนด แต่เจ้าหน้าที่ยังคงสงสัยในที่มาของไม้จึงขอตรวจสอบต้นตอก่อน
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ไปทำการตรวจสอบไม้ในที่ดินทั้ง 2 จังหวัดดังกล่าว โดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านการพิสูจน์ไม้จากสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าในพื้นที่ ใช้แผ่นพลาสติกใสลอกลายส่วนโคนไม้ที่ถูกอายัดที่ท่าเรือไปเปรียบเทียบกับตอไม้ที่โฉนดทั้ง 2 จังหวัด พบตอไม้ประดู่ จำนวน 11 ตอ ในที่ดิน จ.บุรีรัมย์ และจำนวน 3 ตอ ในที่ดิน จ.กาฬสินธุ์ รวมทั้งสิ้น จำนวน 14 ตอ แต่มีรอยใกล้เคียงและสัมพันธ์กับแผ่นพลาสติกที่เจ้าหน้าที่ลอกลายมาเพียง 1 ตอเท่านั้น
เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดไม้ประดู่ท่อน จำนวน 133 ท่อนที่เหลือดังกล่าว ตามความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ ปี 2584 พ.ร.บ.ศุลกากร และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แจ้งข้อกล่าวหาต่อบริษัทคุ้ม เวียงไม้ จำกัด ก่อนทำการบันทึกตรวจยึดพร้อมรวบรวมเอกสารหลักฐานเพื่อส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตำรวจก็รับคดีไว้สอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมาย จากนั้นก็ขยายผลกันต่อไป ซึ่งไม่ต้องห่วงมีหลักฐานที่สามารถดำเนินคดีได้อยู่แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในสำนวน เพราะมีหลักฐานเอกสารต่างๆ ยืนยันชัดเจน ลักษณะเป็นการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่มาตลอดทาง ทั้งเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ศุลกากร แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบหลักฐานดังกล่าวจึงได้ตามมาดำเนินคดีในที่สุด
