ศูนย์ข่าวนครราชสีมา
รายงาน
จำคุก 114 ปี! ศาลอาญาพิพากษาลงโทษ นายวิรพล สุขผล อายุ 39 ปี หรือ “อดีตพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ)” อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ จำเลยคดีหมายเลขดำ อ.2341/2560 ในความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชน กระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ การฟอกเงิน เมื่อ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา นับว่าเป็นโทษจำคุกที่หนักหนาสากรรจ์มาก
ทำให้อดีตพระชื่อดังกระฉ่อนโลก “ หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ” พระยอดนักรัก ฉายา “ไอ้คำ เมีย 8 ลูก 2 ” ประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ ผู้มีเงินมากมายหลั่งไหลมาให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ทำตัวเป็น “พระไฮโซ” นั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว สวมแว่นตาราคาแพง ใช้โทรศัพท์ไอโฟน ถือกระเป๋าแบรนด์ดัง ครอบครองรถยนต์หรูหลายคันๆ ละนับ 10 ล้าน และ สร้างคฤหาสน์ใหญ่โตไว้เป็นเรือนหอ กลายเป็นมหากาพย์ “จอมคนลวงโลก” ที่ได้รับความใจจากผู้คนในสังคมขึ้นมาอีกครั้ง
“เด็กชาย” ในครอบครัวชาวนาอุบลฯ ผู้ชื่นชอบนอนป่าช้า
อดีต “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ” หรือ “เณรคำ” ชื่อเดิมคือ นายวิรพล สุขผล เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522 ในครอบครัวชาวนายากจน มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี “เณรคำ” เป็นบุตรคนที่ 4 ของ นายรัตน์ สุขผล และ นางสุดใจ สุขผล จากพี่น้องทั้งหมด 5 คน ซึ่งขณะนี้พ่อและแม่ รวมทั้งพี่ชายอีก 2 คน ได้เสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงพี่ชาย 1 คน และน้องชายอีก 1 คน
“เณรคำ” ได้เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองโดยการนั่งสมาธิ นอนในป่าช้า เมื่ออายุได้ 15 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร จากนั้นได้ธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2542 ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดป่าดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี โดยมี “หลวงปู่โชติ อาภัคโค” เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาแล้ว “เณรคำ” ได้ไปจำพรรษาที่ วัดป่าดอนธาตุ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ระยะหนึ่ง ซึ่งได้รับการอบรมธรรมะจาก “หลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก” เจ้าอาวาสวัดป่าดอนธาตุ
ประเดิมซุกเมียเด็ก 13 ปี เข้าปักฐานถิ่นศรีสะเกษ
ต่อมา “เณรคำ” ได้เดินทางมาตั้งสำนักสงฆ์อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำมูล ใกล้กับบ้านโนนจาน ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ และได้รู้จักกับ “ด.ญ.หญิง (นามสมมติ)” ขณะนั้นอายุเพียง 13 ปีเศษ ที่ติดตามยายมาทำบุญด้วย จนกระทั่งสนิทสนมกันเป็นพิเศษ และมีสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงกับมีลูกชาย ด้วยกัน 1 คน
จากนั้นได้รับนิมนต์จากชาวบ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ให้มาจำพรรษาที่ “วัดป่าบ้านยาง” ซึ่งอยู่ในป่าช้า ตั้งอยู่ระหว่างบ้านยาง กับบ้านดู่ ต.ยาง ซึ่งอยู่ได้ประมาณ 2 ปี “เณรคำ” เริ่มมีชื่อเสียง เนื่องจาก “ให้หวยแม่นมาก” มีชาวบ้านพากันแห่มาขอหวยคับคั่ง อีกทั้งวัตถุมงคลที่ “เณรคำ” ทำขึ้นมานั้นขึ้นชื่อในด้านเมตตามหานิยม ทำให้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้ง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองเข้ามากราบเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก ส่งผลให้ “เณรคำ” เริ่มมีเงินทองมากขึ้น
ต่อมา เริ่มมีปัญหากันระหว่างชาวบ้าน เนื่องจากชาวบ้านส่วนมากต้องการให้ “เณรคำ” ออกไปจากป่าช้าบ้านยาง อันเป็นที่สาธารณะเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน จนเกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มชาวบ้านที่ต้องการขับไล่ “เณรคำ” กับ ชาวบ้านร่วมกับลูกศิษย์ที่ต้องการให้ “เณรคำ” อยู่ในป่าช้าเช่นเดิม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กันทรารมย์ ต้องเข้ามาระงับเหตุหลายครั้ง
ยุคทอง “เณรคำ” ผุด “พระแก้วมรกต” รุ่นลวงโลกดูดทรัพย์
สุดท้าย “เณรคำ” ได้ยินยอมออกมาจากป่าช้าบ้านยาง และได้มีชาวบ้าน คือ นางเหนาะ และ นางลอน มนัส ที่มีที่ดินอยู่ใกล้กับป่าช้าบ้านยาง ได้บริจาคที่ดินให้ “เณรคำ” สร้างสำนักสงฆ์ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “วัดป่าขันติธรรม” จากนั้น “เณรคำ” ได้ร่วมกับลูกศิษย์พากันสร้าง “พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก” ขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา และได้จัดงานระดมเงินหลายครั้ง โดยใช้ชื่อว่า “มหากฐินทาน” เพื่อหาเงินสมทบทุนก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลอง มีประชาชนชาวไทยทั่วประเทศพากันมาร่วมทำบุญจำนวนมาก และได้เงินมากมายมหาศาล
โดยที่สร้างความฮือฮามากที่สุดเห็นจะเป็นการทอดถวายมหากฐินทานยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก ต้นปักเงินสูง 9 เมตร จำนวน 36 ต้น รวมเป็นเงินกว่า 57 ล้านบาท พร้อมทองคำหนัก 11 กิโลกรัม (กก.) ที่วัดป่าขันติธรรม
หลังผุดโครงการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก 150 ล้านบาท โดยทำพิธีวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างราวปี 2547 แล้ว ได้เกิดปรากฏการณ์เงินทองหลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ถือเป็นยุคทองของ “เณรคำ” โครงการต่างๆ เกี่ยวกับพระแก้วมรกตฯ ได้ผุดตามมาราวดอกเห็ด เช่น การสร้างเศียรองค์พระแก้วมรกตด้วยทองคำ 150 กิโลกรัม (กก.) การระดมรับบริจาคทองคำ 9,000 กิโลกรัม หรือ 9 ตัน เพื่อหลอมเป็นชฎาครอบบนพระเศียรพระแก้วมรกต การระดมเงินบริจาคสร้างมหาวิหารครอบองค์พระแก้วมรกต 1,500 ล้านบาท เป็นต้น
พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการดูดทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ “เณรคำ”
แต่การก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลอง ไม่สามารถเสร็จสมบูรณ์ได้ เนื่องจาก “เณรคำ” นำเงินที่ได้รับบริจาคมาจำนวนมากไปใช้ในการซื้อรถยนต์ยี่ห้อดังครั้งละกว่า 10 คัน มาใช้ รวมทั้งแจกจ่ายถวายให้พระผู้ใหญ่ และนำเอาเงินไปใช้ในการก่อสร้างบ้านหลังใหญ่โตของตนเอง ที่ บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี รวมทั้งซื้อที่ดินแถวบ้านทรายมูล ซึ่งเป็นบ้านเกิด พร้อมสร้างตึกหรูหราขนาดใหญ่ขึ้นมาโดยอ้างว่า จะจัดสร้างเป็นที่ตั้งของมูลนิธิ แต่ว่ายังสร้างไม่เสร็จ
อีกทั้งยังกว้านซื้อที่ดินฝั่งตรงข้ามกับบ้านทรายมูล หลายสิบไร่จัดสร้างเป็นวัดป่าขันติธรรมสาขา 1 มีการปลูกสร้างอาคารหลายหลัง รวมทั้งเป็นบ้านพักส่วนตัวที่หรูหรามากอีกแห่งหนึ่งของตัวเอง และ เงินอีกส่วนหนึ่งนำเอาไปซื้อบ้านเนื้อที่ประมาณ 2 เอเคอร์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย
ภาพฉาวพระไฮโซ-นอนคู่หญิงสาวโผล่ นับถอยหลังสู่จุดเสื่อม
ช่วงปี 2556 “เณรคำ” เริ่มถูกจับตามองจากการที่มีภาพเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ทำตัวเป็น “พระไฮโซ” นั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว พร้อมด้วยบรรดาลูกศิษย์ใช้สอยสิ่งของราคาแพง แตกต่างจากสมณเพศ มีภาพขบวนรถยี่ห้อดังนำเป็นขบวนยาวเหยียด และต่อมา มีการเผยแพร่ภาพคนใบหน้าคล้ายกับ “เณรคำ” นอนคู่อยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่ง “เณรคำ” อ้างว่าเป็นภาพของน้องชายชื่อ “นายสุริ” นอนกับหญิงสาว ไม่ใช่ตัวเอง ทำให้มีการตรวจสอบครั้งใหญ่จากหลายภาคส่วนตามมา
ต่อมา มีนางหญิง (นามสมมติ) อดีตสาว 14 ปี ที่มีลูกชายกับ “เณรคำ” ออกมาเรียกร้องให้ “เณรคำ” รับผิดชอบลูกชายที่เกิดมาด้วยกัน และภายหลังได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 140 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ ดีเอสไอ ได้เข้ามาสืบสวนเรื่องราวทั้งหมด ในชั้นสอบสวนของดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐานเป็นตัวอย่างสารพันธุกรรม 4 ชิ้น ประกอบด้วย ปลายซิการ์ที่อดีตพระเณรคำใช้สูบแล้วมอบให้ลูกศิษย์เก็บไว้บูชา เศษจีวร 2 ชิ้น และพระเครื่องรุ่นดอกบัวคู่รุ่นชานหมาก
ผลการตรวจพิสูจน์พบว่า เศษซิการ์พบคราบน้ำลายตรงเยื่อบุกระพุ้งแก้ม ปรากฏสารพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอตรงกับเด็กชาย ที่เป็นบุตรของหญิงสาวที่มีเพศสัมพันธ์กับ “เณรคำ” ชี้ให้เห็นว่าบุคคลทั้ง 3 มีความสัมพันธ์เป็นพ่อแม่ลูกกันจริง
จึงนำไปสู่การดำเนินคดีต่อ “เณรคำ” ในข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี และคดีพรากผู้เยาว์ และถือเป็นคดีที่ใช้ในการขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจากขณะนั้นตัว “เณรคำ” ช่วงนั้นอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และได้บินตรงไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ไปพักอาศัยอยู่ที่วัดป่าขันติธรรม สาขาเมืองเลคเอลซินอร์ รัฐลอสแองเจลิส ซึ่งไปซื้อบ้านเอาไว้บนยอดเขานานหลายปีแล้ว คล้ายกับเป็นการเตรียมการล่วงหน้าสำหรับการหนีคดีต่างๆ ไปอาศัยลี้ภัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
สื่อผู้จัดการขุดคุ้ย “ไอ้คำ เมีย 8 ลูก 2” ก่อนเผ่นอเมริกา
จากขุดคุ้ยข้อมูลของสื่อจากเครือ “ผู้จัดการ” และ การสอบสวนของดีเอสไอ ทำให้ความจริงต่างๆ ที่ปกปิดมานานกระจ่างชัดว่า “เณรคำ” มีสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงสาวถึง 8 คน ลูก 2 คน (อ่านประกอบ แฉเรียงตัว เมีย 8 ลูก 2 ของ “ไอ้คำ” พระฉาวศรีสะเกษhttp://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000079619) มีการนำเอาเงินที่ได้มาจากการบริจาคไปปรนเปรอสร้างบ้าน เรือนหอใหญ่โต ซื้อรถให้ผู้หญิงทุกตนที่มีความสัมพันธ์ด้วย ซึ่ง ทางดีเอสไอ ได้มีการดำเนินการอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารมากถึง 41 บัญชี แบ่งเป็น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 4 บัญชี ธนาคารกสิกรไทย 2 บัญชี ธนาคารกรุงเทพ 8 บัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ 27 บัญชี
และมีทรัพย์สินอื่นๆ อีกจำนวนมาก เช่น บ้าน 2 หลัง รถยนต์หรูราคาแพงอีกหลายสิบคัน ทั้งรถโรลส์รอยซ์ เชฟโรเลต โตโยต้า คัมรี่ เฟอร์รารี ฮัมเมอร์ รถกระบะ รถเบนซ์ และรถจักรยานยนต์ ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 200 ล้านบาท คาดว่ามีเงินสดอีกหลายร้อยล้านบาท “เณรคำ” ได้ยักย้ายถ่ายเทไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหมดแล้ว ก่อนจะถูกจับกุมได้ ซึ่งต่อมาศาลแพ่งได้พิพากษาให้ยึดทรัพย์จำนวน 43,478,992 บาท
จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ทางดีเอสไอ มั่นใจว่า “เณรคำ” มีความผิดจริง จึงได้ออกหมายจับใน 5 ข้อหา แต่ขณะนั้นเณรคำ หลบหนีอยู่ที่สหรัฐอเมริกา จนกระทั่งปี 2559 เจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา สามารถจับกุมตัว “เณรคำ” ในฐานะผู้ร้ายหลบหนีเข้าประเทศ ข้อหาฉ้อโกง และพรากผู้เยาว์ โดยทางการของสหรัฐฯ ได้นำตัวเณรคำ ขึ้นศาลชั้นต้นคดีอาญารัฐบาลกลาง แขวงมณฑลริเวอร์ไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และถูกศาลตัดสินให้จำคุกถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำ
สหรัฐฯ ส่งตัว “เณรคำ” ผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีในไทย
เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2560 ศาลแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้ส่งตัว นายวิรพล เป็นผู้ร้ายข้ามแดนนำตัวกลับมาดำเนินคดีทุกข้อหาที่ประเทศไทย ตามที่ ดีเอสไอ ได้ประสานงานให้ติดตามตัวเป็นระยะเวลานานถึง 4 ปี
เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เดินทางไปรับตัว “เณรคำ” กลับมายังประเทศไทย เมื่อเวลา 22.00 น.วันที่ 19 ก.ค.2560 โดย “เณรคำ” ยังห่มผ้าเหลือง กระทั่งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้เชิญสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาดำเนินการตามกฎหมายแจ้งให้ทราบว่า คณะสงฆ์ศรีสะเกษ และ คณะสงฆ์อุบลราชธานี มีมติให้ “เณรคำ” ปาราชิกพ้นสภาพจากการเป็นพระสงฆ์แล้ว “เณรคำ” จึงยอมละผ้าเหลือง และสวมชุดขาวของฆราวาสแทน เพื่อให้ ดีเอสไอ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
ข่ายความผิดที่ เณรคำ ถูกดำเนินคดีมีรวม 5 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาพรากผู้เยาว์ กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และฐานฟอกเงิน โดย “นายวิระพล” ให้การปฏิเสธและขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ซึ่งอัยการได้ตรวจสำนวนคำร้องของพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ แล้ว ได้มีความเห็นสั่งฟ้อง นายวิระพล ทั้ง 2 สำนวน รวม 5 ข้อหา
ส่วนข้อหาอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี และ พาเด็กไปเพื่อการอนาจาร นั้น คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2543-2544 ทำให้คดีนี้ขาดอายุความไปแล้ว อัยการจึงยุติการดำเนินคดี
อ่วมศาลอาญาพิพากษาจำคุก 115 ปี ติดจริง 20 ปี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.2341/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวิรพล สุขผล อายุ 39 ปี หรือ อดีตพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เป็นจำเลย ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน กระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ การฟอกเงิน
โดยพิพากษา ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1) (2) , 60
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ให้จำคุกฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 รวม 29 กระทงๆ ละ 3 ปี รวม 87 ปี, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) เป็นเวลา 3 ปี และความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวม 12 กระทงๆ ละ 2 ปี เป็นเวลา 24 ปี
รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 114 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกได้สูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) เป็นจำคุก 20 ปี พร้อมให้ชดใช้เงินกับผู้เสียหายกับ 29 ราย ตามจำนวนที่ได้ฉ้อโกงไป
ส่วนอีกคดีสำคัญ ของ “พระยอดนักรัก” ที่มาของฉายา “ไอ้คำ เมีย 8 ลูก 2” คือ คดีหมายเลขดำ อ.2340/2560 ที่ถูกฟ้องข้อหากระทำชำเราเด็กหญิง นั้น ศาลอาญานัดพิพากษาใน เดือน ต.ค.นี้
เรียกได้ว่าต้องติดคุกยาวไป... ชดใช้กรรมกันทั้งชาติ ดั่งพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”