เชียงราย - รมว.คมนาคมตัดริบบิ้นเปิดเวทีสัมมนารถไฟรางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เชื่อม สป.จีน-แหลมฉบัง พลิกโฉมเมืองพ่อขุนฯ เป็นลอจิสติกส์ซิตี้ที่รอกันมากว่าครึ่งศตวรรษ จ่อแยกสัญญาเจาะอุโมงค์ สร้างเสร็จเร็วขึ้นปี 66 ได้ใช้ชัวร์
วันนี้ (9 ส.ค.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาสร้างการรับรู้และความเข้าใจโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ที่ห้องยูโทเปีย โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย
มีนายวรวุฒิ มาลา รองผู้ว่าการกลุ่มธุรกิจการบริหารทรัพย์สิน รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (กฟท.), นายสมบูรณ์ ศิริเวช รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย พร้อมตัวแทนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมรับฟังประมาณ 500 คน
นายอาคมเปิดเผยว่า รถไฟสายนี้จะเชื่อมระหว่าง อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผ่านลำปาง พะเยา-เชียงราย มีปลายทางอยู่ที่ อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว เป็นหนึ่งในแผนงานยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคนนาคมขนส่งของไทยปี 2558-2565 ซึ่ง ครม.มีมติอนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา มูลค่าโครงการ 85,345 ล้านบาท ผ่านพื้นที่ 59 ตำบล 17 อำเภอ ระยะทางรวม 323.10 กิโลเมตร
ตลอดเส้นทางรถไฟสายนี้มีสถานีทั้งสิ้น 26 สถานี ประกอบด้วย สถานีขนาดใหญ่ 4 สถานี สถานีขนาดเล็ก 9 สถานี และป้ายหยุดรถ 13 แห่ง มีลานขนถ่ายสินค้าจำนวน 4 แห่ง ย่านกองเก็บและบรรทุกตู้สินค้า 1 แห่งเนื้อที่ 150 ไร่ ที่สถานีเชียงของ รวมทั้งมีแนวถนนเชื่อมต่อด่านชายแดนเชียงของและศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของที่กำลังก่อสร้างอยู่ด้วย
นายอาคมกล่าวว่า โครงการนี้มีจุดเด่นคือเป็นรถไฟรางคู่ที่ไม่มีจุดตัดทางแยกเพื่อเพิ่มความปลอดภัย มีรั้วกั้นตามรายทาง และออกแบบสะพานเฉพาะเพื่อให้รถยนต์ข้ามทางรถไฟไปตลอดแนว มีสะพานลอย ทางเท้า และทางรถจักรยานยนต์ข้ามและลอดทางรถไฟรวมประมาณ 254 จุด รวมทั้งมีอุโมงค์คู่เมื่อต้องผ่านภูเขาระยะทางประมาณ 13.9 กิโลเมตร ทำให้สะดวกสบายสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 5,600 คนต่อวัน และในปี 2595 จะพัฒนาเพื่อรองรับได้ถึง 9,800 คนต่อวัน
ส่วนการขนส่งสินค้า ประเมินว่าจะมีการเติบโตของสินค้าประมาณร้อยละ 4.65 ต่อปี โดยปี 2566 จะรองรับตู้สินค้าได้ถึง 413,417 ทีอียูต่อปี และปี 2595 จะเพิ่มขึ้นเป็น 951,955 อีทียูต่อปี ซึ่งจะทำให้การนำเข้า-ส่งออกสินค้าผ่านด่านฯ เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30-40 ต่อปีด้วย
“เส้นทางนี้ยังเชื่อมรถไฟของ สปป.ลาว-เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน สามารถขนส่งสินค้าเชื่อมภูมิภาคลุ่มน้ำโขง-ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะพลิกโฉมเชียงรายให้เป็นลอจิสติกส์ซิตี้ของภูมิภาคนี้ในอนาคต”
นายอาคมกล่าวอีกว่า โครงการนี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ปี 2503 หรือกว่า 58 ปี ซึ่งก็ยืนยันว่าไม่ต้องรอกันอีกต่อไปเพราะแผนงานเดิมจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จในปี 2568 แต่ตนเห็นว่าระยะทางไกลเพียง 323.10 กิโลเมตร จึงได้ขอให้กำหนดสร้างเสร็จในปี 2566 ส่วนที่อาจทำให้การก่อสร้างช้าลง เช่น การขุดเจาะอุโมงค์ยาว 13.9 กิโลเมตร และจุดที่ยาวที่สุดคือ 6.4 กิโลเมตร ในเขต จ.แพร่ ก็อาจจะขอให้ใช้การแยกสัญญาจ้างก่อสร้าง เพราะไม่ต้องรอการเวนคืนที่ดิน
“รถไฟที่ใช้จะเป็นเครื่องรุ่นใหม่อย่างแน่นอน โดยมีความเร็วตามปกติ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ความเร็วจริงที่ทำได้บนรางคือประมาณ 120-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่าเร็วและตรงเวลากว่ารถยนต์ รวมทั้งเป็นรางคู่ไม่ต้องหลีกทางกัน สามารถเชื่อมแหลมฉบัง-กรุงเทพฯ-เชียงราย-เชียงของ”
นอกจากนี้ ตนก็กำลังพิจารณาให้มีการพัฒนาการเดินรถระยะสั้นตามสถานีต่างๆ โดยอาจให้เอกชนเข้าบริการเดินรถ อำนวยความสะดวกการโดยสาร ซึ่งจะสร้างวัฒนธรรมการเดินทางใหม่ทางรถไฟให้คนไทยแทนรถยนต์ จากสถานียังพัฒนารถโดยสารเชื่อมโยงการเดินทาง และไม่ให้ไกลจากสนามบินมากนักด้วย
นายอาคมกล่าวย้ำว่า ในอนาคตเส้นทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-เชียงของ จะเป็นรางคู่เท่านั้น โดยกำลังพัฒนาเส้นทางจากปากน้ำโพ-เด่นชัย เพื่อต่อเชื่อมถึงกันต่อไปด้วย
ในโอกาสเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ได้จัดนิทรรศการข้อมูลการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ และเปิดคลินิกเส้นทาง-ที่ตั้งของสถานีต่างๆ ซึ่งพบว่ามีประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดินพากันสอบถามข้อมูลกันเเพื่อวางแผนประกอบการในที่ดิน ประเมินราคาที่ดิน ผลกระทบ ฯลฯ กันเป็นจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องคอยให้ข้อมูลและคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง