กาญจนบุรี - พ่อเมืองกาญจน์ นำแต่งกายย้อนยุคสมัยอยุธยา ประชาสัมพันธ์งาน “ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี” พร้อมยกเหตุการณ์ 13 หมูป่า ติดถ้ำหลวง เป็นกรณีศึกษา พร้อมส่งกำลังใจ และชื่นชม ผอ.(ศอร.)ที่มีภาวะผู้นำในการตัดสินใจและมีการวางแผนที่ดี ชี้เคสนี้ไม่มีใครผิด-ใครถูก
วันนี้ (10 ก.ค.) นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยนางรชยา ภูมิสวัสดิ์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยพระราชวิสุทธิเมธี เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี คณะสงฆ์ ข้าราชการ และองค์กรเอกชนจังหวัดกาญจนบุรี ร่วมกันแต่งกายในชุดสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อการบันทึกภาพประชาสัมพันธ์กิจกรรมงาน “ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี” ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค.2561 บริเวณวัดขุนแผน บ้านท่าเสา ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า จังหวัดกาญจนบุรีและองค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี ได้จัดทำโครงการย้อนรอยตำนาน ประเพณีวัฒนธรรมกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี โดยมีวัตถุประสงเพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ซึ่งจากการสำรวจพื้นที่ในจงหวัดกาญจนบุรี ยังมีโบราณสถานสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในหลายแห่ง และที่ยังสามารถใช้เป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวได้เกือบ 30 แห่ง กระจายอยู่ในพื้นที่ 5 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอท่าม่วง อำเภอพนมทวน อำเภอห้วยกระเจา และอำเภอเลาขวัญ
และทุกพื้นที่นั้นยังคงมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเดินทัพของพระนเรศวรมหาราช และมีประเพณีวัฒนธรรม วิถีชีวิตพื้นถิ่น ที่เชื่อมในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดกาญจนบุรี สำหรับผู้ที่สนใจท่องเที่ยวและศึกษาประวัติศาสตร์ ศิลปะ ประเพณีและวัฒนธรรมของจังหวัดกาญจนบุรีที่เชื่อมโยงจากยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ถึงยุคปัจจุบัน
ในด้านการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวนั้นจังหวัดกาญจนบุรี ได้จัดให้มีกิจกรรมงาน “ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี” การจำลองนิทรรศการโบราณสถานสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค.2561 บริเวณวัดขุนแผน บ้านท่าเสา ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
โดยจะมีการจำลองนิทรรศการโบราณสถานต่างๆในสมัยอยุธยาที่มีอยู่ในพื้นที่ 5 อำเภอ มาให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้เข้ามาศึกษาผ่านการจัดทำข้อมูลท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ด้วยระบบแสกนQR Code นอกจากนี้ยังมีตลาดเก่าเพื่อการท่องเที่ยวย้อนยุคตลาดในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยใช้ชื่อ “ตลาดทองประศรี” ซึ่งเป็นตลาดเก่าเล่าเรื่องราววิถีชีวิตสมัยกรุงศรีอยุธยา และตำนานขุนแผนในดินแดนลาดหญ้า ณ กาญจนบุรี
“กิจกรรมที่จะสะท้อนให้เป็นวิถีชีวิตชาวกาญจนบุรี ในยุคกรุงศรีอยุธยาอีกด้านหนึ่งคือ การแสดงออกในวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวกาญจนบุรีที่สืบทอดมา และยังคงมีการเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งจะนำมาจัดแสดงในงาน “ย้อนรอยกรุงเก่า ณ อยุธยา” อาทิ การแสดงแสงสีเสียงประวัติศาสตร์”สงครามเก้าทัพ”การแสดงวิถีชีวิตคนกาญจนบุรีผ่านเรื่องเล่าขาน “ไอ้บุญทองบ้านหนองขาว” และการแสดงแสงสีเสียงผ่านเรื่องราวความรัก และความสามัคคี การดำรงไว้ซึ่งประเพณีวัฒนธรรม ของคนกาญจนบุรี ผ่านเรื่องเล่า”ตำนานบ้านเขารักษ์” และยังมีการแสดงพื้นบ้านอาทิ รำเหย่อยหรือรำพาดผ้า รำโทน ร่อยพรรษา และการละเล่นพื้นบ้านในอดีต
นอกจากนี้ในกิจกรรมงาน “ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี” ระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค.2561 จังหวัดกาญจนบุรียังได้เชิญชวนผู้ที่จะเข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีในช่วงเวลาดังกล่าว ร่วมแต่งกายย้อนยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยได้นำทุกภาคส่วนทั้งคณะสงฆ์ ภาครัฐ และเอกชนร่วมกันถ่ายภาพด้วยการแต่งกายสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชาวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้มาท่องเที่ยวในงาน “ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี” ในครั้งนี้ด้วย
นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้กล่าวขณะเดินทางไปบันทึกภาพประชาสัมพันธ์กิจกรรมงาน “ย้อนรอยกรุงเก่า ณ กาญจนบุรี” ที่บริเวณวัดขุนแผน บ้านท่าเสา ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ว่า
จากกรณีที่โค๊ตและทีมหมูป่าอคาเดมี แม่สาย ทั้ง 13 คน ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมาตนในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี และชาวจังหวัดกาญจนบุรี ก็ได้ติดตามข่าวมาตั้งแต่ต้น และทุกคนก็ได้เอาใจช่วยมาโดยตลอด
ต้องขอชมเชยในความอดทน ไหวพริบปฏิภาณของเด็กๆทั้ง 13 คน ในการเอาตัวรอดจากภาวะวิกฤติในชีวิตเช่นนั้น ขณะเดียวกันในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยท่านณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (ศอร.)ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ซึ่งท่านก็มีภาวะในความเป็นผู้นำในการตัดสินใจและมีการวางแผนที่ดี
ทำให้ตอนนี้ถือว่าทุกคนนั้นปลอดภัย ทราบว่าจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถนำเด็กๆออกมาได้ 8 ชีวิตแล้ว และยังคงเหลืออีก 5 ชีวิต แต่ผมเชื่อมั่นว่าการทำงานที่มีระบบ มีการวางแผนที่ดี และเชื่อในความสามารถของเจ้าหน้าที่ ก็คงจะทำให้เด็กๆทั้ง 13 คนรอดชีวิตออกมาได้ และสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องนำไปเป็นบทเรียนได้หลายๆอย่าง
ซึ่งเมื่อวานนี้ (9 ก.ค.)ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ได้เรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งท่านก็ได้สั่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นำไปถอดเป็นบทเรียนในการดำเนินการว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีจุดอ่อนและจุดแข็งอย่างไร เพื่อจะได้มีประสบการณ์ในการดำเนินการ และจะทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศได้ตระหนัก หรือได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้อย่างไร ซึ่งภาคประชาชนเองก็เช่นเดียวกัน
แต่เราคงไม่มีอะไร คงได้แต่ส่งกำลังใจไปถึงเจ้าหน้าที่ ว่าทุกคนได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว สำหรับ 13 หมู่ป่านั้นเราจะไปโทษเด็กก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นการไปเที่ยวเล่นกันตามปกติแต่มันเกิดภาวะเหตุการณ์ทางธรรมชาติขึ้นเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นงานนี้จึงไม่มีใครผิดและไม่มีใครถูก แต่ว่าสิ่งที่เราได้เห็นก็คือน้ำใจของประชาชนชาวไทยทุกคนที่ได้มีการรวมน้ำใจ ให้กำลังใจ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือ ก็ถือว่าถึงแม้จะเป็นสภาวะที่เลวร้าย แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้เห็นอะไรหลายๆ อย่าง