ศูนย์ข่าวนครราชสีมา
รายงาน
“สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม” จ.สุรินทร์ ไม่ได้โดดเด่นแค่เป็นดินแดนแห่งเมืองช้างเท่านั้น แต่ร่ำรวยด้วยวัฒนธรรมอันงดงาม ทรงคุณค่าและน่าค้นหายิ่ง โดยเฉพาะวิถีชีวิตที่มีความหลากหลายทางชนชาติพันธุ์
โดยทีมข่าวได้ร่วมเดินทางเยี่ยมชมและสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมตาม โครงการ “ยกระดับการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมครบวงจร จังหวัดสุรินทร์” จัดโดย สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดสุรินทร์
มนต์เสน่ห์ของอารยธรรมขอม ที่ฝังรากลึกในวิถีชีวิตชาวบ้านสุรินทร์จนกลายเป็นวัฒนธรรมอันงดงามและทรงคุณค่า ของผู้คนที่นี่ ถูกถ่ายทอดผ่านชุมชน “บ้านสวายจ๊ะ” ต.สวาย อ.เมือง จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในทริปนี้
นายนิรันดร์ ดุจจานุทัศน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์และคณะ เดินทางมาต้อนรับคณะสื่อมวลชนพร้อม เป็นประธานเปิดงาน “ส่งเสริมช่องทางการตลาดระดับจังหวัด ตามโครงการยกระดับการท่องเที่ยววัฒนธรรมครบวงจร จ.สุรินทร์” และนำคณะสื่อเยี่ยมชมสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีชื่อเสียงของชาวบ้านสวายจ๊ะและจังหวัดสุรินทร์
ก่อนนั่ง “รถอีแต๋น” นำขบวนเข้าเยี่ยมชม “ถนนสายไหม” ซึ่งเป็นอาชีพของผู้คนที่นี่ เจ้าบ้านให้การต้อนรับด้วยไมตรีจิตที่ดี พร้อมบอกเล่าที่มาของเส้นทางสายไหมว่า ทุกเช้าที่นี่ถนนในหมู่บ้าน 1 ช่องทางจะถูกยึดหรือปิดการจราจร เนื่องจากกลุ่มแม่บ้านใช้เป็นพื้นที่ในการม้วนเส้นไหม ซึ่งมีเพียงที่เดียวของประเทศไทย เพราะไหมที่นำมาม้วนมีความยาวไม่น้อยกว่า 30 เมตร และ เคยม้วนยาวมากสุดไกลถึง 60 เมตร เลยทีเดียว ถือเป็นวีธีการม้วนไหมที่หาดูได้ยาก นอกจากนี้ยังมีการทอผ้า ที่เป็นลายเอกลักษณ์ของบ้านสวายจ๊ะ
จากนั้นคณะได้เดินทางเข้าชมภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์เก่าแก่ ของ วัดนารายณ์บุรินทร์ วาดโดยจิตรกรชาวกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2510 จนถึงปัจจุบันมีอายุกว่า 50 ปี แต่ภาพยังคงมีสีสันที่สดใสและคมชัด โดยเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติของสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน และภาพของเจ้าอาวาสวัด ในขณะที่มีการเขียนภาพดังกล่าว ปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว
ช่วงบ่ายวันเดียวกันคณะของเราได้เดินทางมุ่งหน้าสู่ “บ้านอาลึ” ต.สำโรงทาบ อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ครบวงจร เป็นดินแดนอารยธรรมชาวกูย ซึ่งสันนิษฐานว่า บรรพบุรุษของชาวบ้านอาลึ รวมทั้งชาวสำโรงทาบ เป็นชาวกูย อพยพมาจาก แขวงจำปาสัก ตอนใต้ ของประเทศลาว อพยพข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งชุมชนบริเวณแห่งนี้ ชาวกูยมีภาษาพูดเป็นของตัวเองแต่ไม่มีภาษาเขียน ที่นี้มีการอนุรักษ์ธรรมเนียมประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น เครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพของชาวกูยไว้อย่างสมบูรณ์
ทันทีที่เดินทางถึงเราได้พบกับชาวกูย กลุ่มแรกยืนเรียงแถวรอต้อนรับพร้อมมอบดอกไม้ให้คณะด้วยความอบอุ่น โดยทุกคนสวมชุดประจำถิ่นชาวกูย คือ ผ้าไหมสีดำคลิปแดงดูสวยงาม ก่อนนำคณะไปกราบขอพรสิ่งศักดิ์ของหมู่บ้าน ที่นี้เราได้ร่วมกิจกรรม “โฮบบายระเงียก” หรือ รับประทานอาหารเย็นด้วยอาหารแบบบ้าน ๆ พร้อมร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ ชมการแสดงรำแกลมอ ซึ่งหาชมได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น คณะสื่อได้ร่วมรำแกลมอ กับชาวบ้านสร้างรอยยิ้มและความสุขให้ผู้มาเยือน ปิดท้ายคืนนี้ด้วยการผูกข้อมือเรียกขวัญเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับเข้าที่พักโฮมสเตย์ วันรุ่งขึ้นทุกคนพร้อมร่วมกิจกรรมใน 3 ฐานหลัก คือ ฐานการย้อมไหมด้วยสีธรรมชาติ ฐานบ้านโบราณ และ ฐานการแซวผ้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในการเย็บผ้า ของชาวกูย ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
เป้าหมายสุดท้ายของทริปนี้ คือ “บ้านอ้อมแก้ว” ต.ศรีสุข อ.ศรีณรงค์ จ.สุรินทร์ ชุมชนถูกล้อมรอบด้วยลำห้วยทับทัน วิถีชีวิตชาวบ้านที่นี่ยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของบรรพบุรุษไว้ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับศาลปู่ตา ที่คอยปกปักรักษาผู้คนในหมู่บ้าน หากจะจัดงาน หรือทำการใดจะต้องมาบอกกล่าวให้ทราบเพื่อให้การงานนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และการสวดสรภัญญะ การทำขนมไทยขึ้นชื่อของหมู่บ้าน
คณะสื่อได้รับประทานอาหารเย็น “โฮบบายระเงียก” แบบขันโตก และมีการผูกข้อต่อแขนเพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัย กิจกรรมท่องเที่ยวโดดเด่นของที่นี่คือ การล่องเรือลำน้ำห้วยทับทัน เพื่อชมหิ่งห้อยและความงามของธรรมชาติ 2 ฝากฝั่ง แต่ทริปนี้ไม่ได้รอให้ค่ำเพื่อดูหิ่งห้อย คณะสื่อลงเรือ 5 ลำล่องไปในลำน้ำห้วยทับทัน เป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร ชมวิถีชีวิต 2 ฝั่ง ที่มีชาวบ้านมาจับปลาและหาอาหารจากแหล่งน้ำอันยังคงสมบูรณ์แห่งนี้ และแวะเก็บผลไม้ธรรมชาติ ตามริมฝั่งลำน้ำอีกด้วย
วันนี้หมู่บ้านท่องเที่ยวทั้ง 3 แห่งของเมืองช้าง พร้อมต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวด้วยไมตรีจิตของชาวบ้าน เชื่อเหลือเกินว่ามนต์เสน่ห์ของวัฒนธรรมอันหลากหลายนี้ จะเป็นสิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวออกมาค้นหาคำตอบและหลงใหลในวัฒนธรรมความเป็นชุมชนของหมู่บ้านทั้ง 3 แห่งนี้แน่นอน และความงดงามนี้จะสร้างรายได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ขณะที่ประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่นไม่ได้ถูกลบเลือนหายไป