ศูนย์ข่าวศรีราชา - นอภ.สัตหีบ สนธิกำลังหลายหน่วยบุกจับแรงงานต่างถิ่น ลูกสมุน “จ่าหนู ” ลอบแผ้วถางป่าบนเนินเขามะละกอ ทำเลทองแห่งใหม่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ จนทำให้ปัจจุบันเนินเขามะละกอ มีการลักลอบแผ้วถางป่าจนกลายเป็นเขาหัวโล้นทั้งที่พื้นที่แห่งนี้ยังคงสภาพความเป็นป่าตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ และอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ ส่วน “จ่าหนู ” จนท.อยู่ระหว่างตามตัวดำเนินคดี
เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ ( 11 ก.ย.) นายอนุชา อินทศร นายอำเภอสัตหีบ พร้อมด้วย นายปรัตรวีร์ วิจบ ปลัดอาวุโส ,นายอภิวัฒน์ สาลีวัน ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ,นายจักรกฤษ แสงกุหลาบ หัวหน้าหน่วยป้องกันและปราบปรามป่าไม้ ชบ.1 (บ่อทอง) ได้สนธิกำลังเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมกว่า 10 นาย เข้าปิดล้อมพื้นที่เชิงเขามะละกอ ม.6 ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังได้รับแจ้งจากกำนันและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ว่า มีกลุ่มชายฉกรรจ์ เข้ามาแผ้วถางป่าบนเนินเขาฯ และบุกรุกที่ดินสาธารณะเพื่อหวังครอบครองสิทธิในที่ดิน
โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ 3 ราย ประกอบด้วย นายสิงห์ สุขเมือง อายุ 54 ปี, นายทินกร รูปท้วม อายุ 40 ปี และนายสุพจน์ หินลาศ อายุ 25 ปี ทั้งหมดเป็นชาว จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมของกลางเลื่อยและมีดขอที่ใช้ในการตัดต้นไม้ จึงตั้งข้อหาร่วมกันก่อสร้างแผ้วถางป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองพื้นที่ป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ให้การรับสารภาพว่าถูกจ้างวานมาจากนายทุนชื่อ “จ่าหนู” ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งหมดได้ทำงานอยู่ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และได้รับการติดต่อจาก “จ่าหนู” ให้มาทำงานแผ้วถางป่าพื้นที่ดังกล่าว โดยอ้างว่าเพิ่งจะทำงานวันนี้เป็นวันแรก และไม่รู้มาก่อนว่าบุกรุกพื้นที่ป่า
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของ “จ่าหนู” ได้หลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปถึง และก่อนหน้านี้ยังเคยถูกจับกุมจากการกระทำในลักษณะเช่นนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฏหมาย
โดย นายอนุชา เผยว่า เขามะละกอ เป็นเนินเขาซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ 22 ไร่ และกำลังเป็นทำเลทองเนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก อาทิ พระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์ และวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ฯลฯ ทำให้นายทุน หวังที่จะเข้ามาช่วงชิงเพื่อครอบครองที่ดินผืนนี้ ซึ่งในอดีตได้มีการออกเอกสารสิทธิ์ครอบครองโดยไม่ชอบธรรม ก่อนจะมีการเพิกถอนไปในที่สุด และปัจจุบันพื้นที่แห่งนี้มีมูลค่าสูงมากกว่าร้อยล้านบาท
นอกจากนั้นพื้นที่แห่งนี้ยังคงสภาพความเป็นป่าตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ ซึ่งที่ผ่านมามักมีกลุ่มนายทุน อ้างเรื่องการมีเอกสารสิทธิครอบครองที่ดินโดยถูกต้อง และมีการนำไปขายต่อเป็นทอด ๆ จนทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อเข้ามาบุกรุกแปรสภาพพื้นที่แห่งนี้จนต้องสูญเงินจำนวนมหาศาล รวมทั้งถูกจับกุมดำเนินคดี ส่วนสภาพผืนป่าบนเนินเขามะละกอ ปัจจุบันพบว่าถูกแผ้วถางจนเกือบจะเป็นเขาหัวโล้น