บุรีรัมย์ - สาวบุรีรัมย์พิการตาบอดถูกสามีทิ้งให้เลี้ยงลูกน้อยลำพัง ประกาศงดรับบริจาคแล้วหลังผู้ใจบุญบริจาคต่อเนื่องทะลุ 1.47 ล้าน ระบุเพียงพอเลี้ยงชีพตัวเองและลูกน้อยแล้ว พร้อมจะแบ่งปันเงินมอบให้โรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลือคนอื่นด้วย เผยไม่เสียใจหากดวงตาที่ลุงป่วยอัมพฤกษ์ใจประเสริฐบริจาคให้เข้ากันไม่ได้ และขอบคุณทุกน้ำใจยื่นมือช่วยเหลือ
วันนี้ (7 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีเรื่องราวชีวิตสุดรันทดของ น.ส.สุนิสา มุ่งรวยกลาง หรือน้องยุ้ย อายุ 26 ปี ชาวบ้านกลันทา ม.10 ต.กระสัง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ พิการตาบอดทั้งสองข้างมานานกว่า 7 ปี เพราะผลข้างเคียงจากการทำงานโรงงานหลอมเหล็ก ซ้ำยังถูกสามีหนีไปบวช ทิ้งให้เลี้ยงลูกชายวัย 1 ขวบ 3 เดือนตามลำพัง ปัจจุบันอาศัยเพิงเล็กๆ ที่ล้อมรอบและมุงด้วยสังกะสีเก่าผุพังเป็นที่ซุกหัวนอน มีเพียงเบี้ยคนพิการเดือนละ 800 บาท และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนเดือนละ 300 บาทซื้อข้าวและอาหารกินประทังชีวิต ต้องอยู่อย่างยากลำบากอดมื้อกินมื้อ บางครั้งไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกินจนคิดท้อถึงขั้นอยากจะฆ่าตัวตายนั้น
ล่าสุด น.ส.สุนิสา มุ่งรวยกลาง หรือน้องยุ้ย ได้ประกาศของดรับบริจาคแล้ว หลังจากมีผู้ใจบุญบริจาคช่วยเหลือแล้วกว่า 1,470,000 บาท ซึ่งคิดว่าเพียงพอสำหรับใช้เลี้ยงดูแม่ ลูกชาย และตัวเองแล้ว ทั้งนี้ยังมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และผู้มีจิตศรัทธานำข้าวสารและสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมามอบช่วยเหลือที่บ้านด้วย รวมทั้งอยากให้ผู้มีจิตศรัทธาได้แบ่งปันความช่วยเหลือให้คนอื่นที่ประสบชะตากรรมลำบากเหมือนกับตนเองด้วย
ส่วนเงินที่ได้รับบริจาคตั้งใจว่าส่วนหนึ่งจะเก็บไว้สร้างบ้านให้สามารถกันแดดกันฝน และปลอดภัยกว่าเดิม เพราะปัจจุบันอาศัยอยู่ในเพิงสังกะสีเก่า ทั้งเก็บไว้เป็นทุนการศึกษาลูก และใช้จ่ายในการดำรงชีวิต และตั้งใจว่าจะแบ่งปันเงินที่ได้รับบริจาคจำนวน 50,000 บาท มอบให้แก่โรงพยาบาลบุรีรัมย์เพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์ หรือเวชภัณฑ์ยา สำหรับใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยคนอื่นด้วย เพราะที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลบุรีรัมย์ให้การดูแลรักษาตนเองเป็นอย่างดีมาตลอด
ส่วนกรณีที่ นายพายัพ รอดเมือง อายุ 59 ปี ชาวบ้านหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งพิการเป็นอัมพฤกษ์นอนป่วยติดเตียงมานานกว่า 20 ปี ได้แจ้งความจำนงจะบริจาคดวงตาให้แก่น้องยุ้ย 1 ข้างเพื่อให้น้องมีโอกาสกลับมามองเห็นและสามารถทำงานเลี้ยงดูลูกได้นั้น น้องยุ้ยบอกว่า ชีวิตนี้ไม่คาดคิดว่าจะมีคนที่จิตใจประเสริฐยอมสละดวงตาของตนเองทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือคนอื่นทั้งที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้อง หรือรู้จักกันเลย รู้สึกตื้นตันใจและทำให้ตนเองมีความหวังที่จะสู้เพื่อแม่และลูกต่อไป
ทั้งนี้ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเซลล์ดวงตาจะไม่สามารถเข้ากันได้ หรือในทางระเบียบกฎหมายที่กำหนดไว้จะทำให้ตนไม่สามารถเปลี่ยนดวงตาและกลับมามองเห็นได้อีกตามที่หวังไว้ก็ไม่รู้สึกเสียใจ แต่กลับดีใจที่ได้รับรู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีคนใจบุญที่ยอมเสียสละดวงตาของตนเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แต่จะไม่หมดหวังจะรอคอยปาฏิหาริย์ที่คิดว่าสักวันจะได้กลับมามองเห็น อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะไปฝึกอาชีพสำหรับคนพิการที่บกพร่องทางสายตาเพื่อให้สามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองและลูกได้โดยไม่เป็นภาระคนอื่น
สุดท้ายน้องยุ้ยได้กราบขอบคุณผู้ใจบุญ หน่วยงานราชการ สื่อมวลชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือตนเองได้หลุดพ้นจากชะตากรรมทุกข์ยากลำบาก และมีกำลังใจจะต่อสู้ชีวิตต่อไป