บุรีรัมย์- ร้านอาหาร “กะเพราถาดยักษ์” เจ้าแรกเจ้าเดียวของบุรีรัมย์ ขวัญใจนักเรียน นักศึกษา และผู้มีรายได้น้อย ได้รับผลกระทบหนัก หลังก๊าซหุงต้มขึ้นราคาเดือนเศษพรวดถังละ 55 บาท ซ้ำไข่ไก่ พืชผักปรับราคาตาม ทำต้นทุนสูงเพิ่ม 30% แต่ต้องทนขายราคาเดิม หวั่นกระทบลูกค้า วอนรัฐบาลเร่งควบคุมราคาก๊าซ
วันนี้ (27 พ.ค.) ร้านขายอาหารตามสั่ง “ครัวแฟร์แฟกะเพราถาด” เจ้าแรกและเจ้าเดียวใน จ.บุรีรัมย์ ของ นายชวเลิศ และ นางกณิการ์ สุขนิพันธ์ สองสามีภรรยา ตั้งอยู่ซอยบุลำดวนเหนือ ต.ในเมือง อ.เมืองบุรีรัมย์ ขวัญใจนักเรียน นักศึกษา และผู้มีรายได้น้อย กำลังได้รับผลกระหนัก หลังก๊าซหุงต้มปรับขึ้นราคา โดยภายในระยะเวลาเพียงเดือนเศษก๊าซหุงต้มที่เคยใช้ขนาดถัง 16.4 กิโลกรัม จากเดิมเคยซื้อถังละ 373 บาท ปัจจุบันปรับเพิ่มเป็นถังละ 428 บาท ขยับขึ้นถึง 55 บาท อีกทั้งไข่ไก่ ข้าวสาร และพืชผัก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารก็ปรับราคาขึ้นด้วยเช่นกัน
ส่งผลให้ขณะนี้ต้นทุนในการประกอบอาหารตามสั่งขายเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 30% แต่ยังต้องขายในราคาเดิม คือ กะเพราหมูสับพร้อมไข่ดาว ถาดละ 40 บาท กะเพราหมูกรอบ และกะเพรารวม ถาดละ 50 บาท เพราะเกรงว่าหากปรับขึ้นราคาจะส่งผลกระทบต่อนักเรียน นักศึกษา ซึ่งจะทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องแบกรับภาระค่าครองชีพเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาควบคุมราคาก๊าซ และข้าวของที่แพงขึ้นในช่วงนี้ด้วย ก่อนที่พ่อค้าแม่ค้าและประชาชนจะเดือดร้อนหนักไปมากกว่านี้
นายชวเลิศ สุขนิพันธ์ กล่าวว่า หลังราคาก๊าซหุงต้มปรับขึ้นราคาถังละ 55 บาท ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากเดิมเกือบ 30% แต่ยังต้องขายในราคาเดิม และปริมาณเท่าเดิมเพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน นักศึกษา และผู้มีรายได้น้อย หากปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นก็กลัวจะส่งผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพ จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขปัญหาราคาก๊าซหุงต้มให้ลดลงไม่เกินถังละ 400 บาท เพื่อช่วยแบ่งเบาต้นทุนพ่อค้าแม่ค้าด้วย แต่หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้พ่อค้าแม่ค้าก็จำเป็นจะต้องปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจเช่นกันเพื่อความอยู่รอด