ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - หนุ่มพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวดอยสะเก็ด เชียงใหม่ ใจโคตรหล่อ ควักเงินส่วนตัวทำข้าวต้มวันละ 45 กิโลกรัม พร้อมซี่โครงไก่และเลือดหมูเกือบ 10 กิโลกรัม เสร็จแล้วขี่จักรยานยนต์พ่วงข้างตระเวนวันละ 2 ชั่วโมงให้อาหารหมาไร้เจ้าของที่ถูกนำมาทิ้งทั่วหมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียงรวมกว่า 150 ตัว ทุกวันต่อเนื่องกว่า 7 ปีแล้ว ไม่เว้นแม้วันที่น้องชายและลูกชายเสียชีวิต จนได้รับฉายายกย่องว่า “เทวดาหมาจร”
รายงานจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า ที่บ้านโพธิ์ทองเจริญ ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ มีชายคนหนึ่งที่จะคอยขี่จักรยานยนต์ติดพ่วงด้านข้างบรรทุกถังหลายถังโดยที่แต่ถังเต็มไปด้วยข้าวต้มซี่โครงไก่และเลือดหมู ตระเวนไปรอบหมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียงในตำบลเชิงดอย เพื่อให้อาหารหมาไร้เจ้าของกว่า 100 ตัว ที่มีผู้นำมาทิ้งไว้และขยายพันธุ์ออกลูกออกหลานเต็มไปหมด
ชายคนนี้ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกวันต่อเนื่องกันมานานกว่า 7 ปีแล้ว ทำให้บรรดาหมาไร้เจ้าของที่ถูกนำมาทิ้งไว้ต่างคุ้นเคยกับชายคนนี้เป็นอย่างดี ชนิดว่าทันทีที่ได้ยินเสียงจักรยานยนต์ของชายคนนี้ใกล้เข้าไปเมื่อใด บรรดาหมาไร้เจ้าของจะวิ่งกระดิกหางด้วยความดีใจออกมาต้อนรับทันที จนกลายเป็นภาพที่ชาวบ้านเห็นเป็นปกติ ขณะที่มีบางคนที่ทราบเรื่องราวนำไปเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียพร้อมแสดงความชื่นชมและตั้งฉายายกย่องชายคนนี้ว่า “เทวดาหมาจร” เพื่อเปรียบเทียบว่าเป็นเทวดาของหมาจรจัด
จากการสอบถามทราบว่า ชายคนดังกล่าว คือ นายนันทพัทธ์ คำมามูล หรือ “พี่คม” อายุ 41 ปี อาชีพพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยว ที่เปิดร้านอยู่ใกล้คิวรถในตลาดสดดอยสะเก็ด เปิดเผยว่าตระเวนให้อาหารหมาไร้เจ้าของในหมู่บ้านโพธิ์ทองเจริญ ซึ่งเป็นบ้านของตัวเอง และพื้นที่ใกล้เคียงในตำบลเชิงดอย มานานกว่า 7 ปีแล้ว โดยเริ่มต้นจากการที่ไปวิ่งออกกำลังกายตามเส้นทางในหมู่บ้านต่อเนื่องไปตามเส้นทางเข้าเขื่อนแม่กวงแล้วพบเห็นหมาที่ถูกเจ้าของนำมาทิ้งไว้สภาพร่างกายซูบผอมและมีท่าทางหิว จึงเกิดความสงสารและกลับไปบ้านเพื่อนำอาหารมาให้หมากิน จากนั้นได้เริ่มทำเป็นประจำต่อเนื่องทุกวัน จากแรกเริ่มที่มีหมาไร้เจ้าของจำนวน 12 ตัว จนถึงปัจจุบันมีจำนวนหมาไร้เจ้าของรวมแล้วกว่า 150 ตัว ซึ่งจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาจากทั้งการแพร่ขยายพันธุ์และเจ้าของนำมาทิ้งเพิ่ม
สำหรับการออกตระเวนให้อาหารหมาไร้เจ้าของในแต่ละวันนั้น นายนันทพัทธ์บอกว่า ทำทุกวันต่อเนื่องกันมานานกว่า 7 ปี ไม่เว้นแม้แต่วันที่น้องชายและลูกชายเสียชีวิตต้องจัดงานศพ หรือแม้กระทั่งป่วย ยกเว้นที่มีเหตุจำเป็นต้องไปต่างจังหวัดจะฝากเพื่อนให้ทำแทน โดยทุกวันจะออกตระเวนให้อาหารหมาในช่วงเย็นเวลาประมาณ 16.00 น. หลังจากที่ปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวแล้ว เริ่มจากให้อาหารหมาที่นำกลับมาเลี้ยงที่บ้านประมาณ 15 ตัว ก่อนจะตระเวนไปจนครบทุกจุดรวมเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง อาหารที่นำไปเลี้ยงหมานั้น ต้องมีการทำเตรียมไว้ล่วงหน้าเพราะไม่เช่นนั้นแล้วจะทำไม่ทันเนื่องจากต้องเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวด้วย
โดยจะต้องต้มข้าววันละ 2 รอบ คือ เช้า ก่อนไปเปิดร้าน และกลางคืน หลังปิดร้าน เพื่อเตรียมไว้ไปเลี้ยงหมาในช่วงเย็นของแต่ละวัน ขณะที่วัตถุดิบที่ใช้แต่ละวัน ประกอบด้วย ข้าวสารประมาณ 45 กิโลกรัม ซี่โครงไก่สับประมาณ 7 กิโลกรัม และเลือดหมู นำมาต้มรวมกัน ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายวันละเกือบพันบาท โดยแต่ก่อนใช้เงินส่วนตัวทั้งหมด อย่างไรก็ตามในช่วงต่อมาได้มีเพื่อนฝูง และคนรู้จัก รวมทั้งผู้ที่ทราบเรื่องราวของตัวเองช่วยกันบริจาคเงินสนับสนุนบางส่วน
ขณะเดียวกัน นายนันทพัทธ์บอกว่า นอกจากการให้อาหารเลี้ยงหมาที่ทำเป็นประจำทุกวันแล้ว ตัวเองจะคอยใส่ใจดูแลสุขภาพเบื้องต้นให้บรรดาหมาไร้เจ้าของเหล่านี้ด้วย เช่น ใส่ยาทาแผล เป็นต้น หากพบว่ามีอาการป่วยมากเกินกว่าที่ตัวเองจะดูแลได้ จะขอความช่วยเหลือจากสัตวแพทย์ของมูลนิธิที่ทำงานเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือสัตว์ ตามปกติจะคอยให้ความช่วยเหลือในการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า และทำหมันให้กับหมาเหล่านี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีหมาบางตัวที่ยังไม่สามารถทำการฉีดวัคซีนหรือทำหมันให้ได้ เพราะแม้หมาบางตัวจะกินข้าวที่นำมาให้แต่จะไม่ยอมให้แตะต้องตัว เนื่องจากหวาดกลัวคน คาดว่าอาจเป็นผลมาจากการถูกทอดทิ้งหรือเคยถูกคนทำร้าย
นายนันทพัทธ์บอกด้วยว่า แม้ว่าจะไม่ได้มีเงินทองมากมายและไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่มีความตั้งใจที่จะตระเวนให้อาหารหมาไร้เจ้าของเป็นประจำทุกวันต่อเนื่องไปไม่มีหยุดหรือจนกว่าจะไม่เหลือหมาไร้เจ้าของแล้ว เพราะมีความสุขที่ได้แบ่งปันช่วยเหลือหมาเหล่านั้น ทั้งนี้อยากจะฝากไปถึงคนที่อยากเลี้ยงหมาว่า หากจะเลี้ยงหมาแล้วต้องมีความรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่อยากเลี้ยงเฉพาะตอนเป็นลูกหมาน่ารัก แต่พอโตขึ้นแล้วนำไปทิ้ง เพราะไม่ได้เป็นเพียงการผลักภาระให้สังคม แต่ยังเป็นการทำร้ายชีวิตๆ หนึ่งด้วย ส่วนการที่มีผู้ยกย่องการกระทำและตั้งฉายา “เทวดาหมาจร” ให้นั้น รู้สึกดีใจที่มีคนชื่นชมการกระทำของตัวเอง อย่างไรก็ตามมองว่าเป็นการยกย่องเกินจริง เพราะว่ายังมีคนอื่นๆ อีกมากที่ทำความดีและสมควรได้รับการยกย่องมากกว่าตัวเองหลายเท่าตัว