สุรินทร์ - แกะรอยชีวิต... “สาวหัวร้อน” ในคลิปดัง “ครอบครัวกร่าง” ด่ากราดตำรวจมาบตาพุด จ.ระยอง และก่อเหตุป่วนทั่วไทย เผยเป็นชาวเมืองช้าง เติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ ก.ศึกษาฯ อันอบอุ่น แม่เลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีใฝ่การศึกษา ขณะญาติดีกรีดอกเตอร์ระบุเป็นเด็กดี พูดจาไพเราะ สุภาพเรียบร้อย มีสัมมาคารวะ เรียกร้องนักจิตวิทยานักสังคมสงเคราะห์เข้าช่วยเหลือ
วันนี้ (15 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีโลกออนไลน์เผยแพร่คลิปวิดีโอ ครอบครัวกร่าง พ่อแม่ลูก คือ นายพะยอม แสงมณี อายุ 32 ปี, น.ส.หทัยรัตน์ สมถวิล อายุ 35 ปี และลูกชายอายุ 18 ปี เปิดศึกทะเลาะด่ากราดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.มาบตาพุด จ.ระยอง ด้วยถ้อยคำหยาบคาย กิริยาก้าวร้าวไม่เหมาะสม และทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ หลังไม่พอใจถูกจับกุมและออกใบสั่งจอดรถในที่ห้ามจอด จนกลายเป็นดรามาได้รับความสนใจเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดุเดือดในโลกออนไลน์ และพบว่าครอบครัวพ่อแม่ลูกยังได้ก่อเหตุฉาวเปิดศึกทะเลาะด่ากราดตำรวจในหลายพื้นที่หลายจังหวัด เรียกได้ว่าป่วนทั่วไทย กระทั่งชาวโซเชียลมีเดียให้ฉายาว่า “ครอบครัวกร่าง 2018” โดยเฉพาะหญิงผู้เป็นแม่ปรากฏในคลิปที่ชาวโซเชียลฯ ขนานนามว่า “สาวหัวร้อน” นั้น ถูกระบุว่าเป็นชาว จ.สุรินทร์
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามข้อมูลกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้คนที่คุ้นเคยและพอจะรู้จักกับ น.ส.หทัยรัตน์ สมถวิล อายุ 35 ปี หญิงสาวที่ปรากฏในคลิปวิดีโอดังกระฉ่อน ว่าเป็นชาวสุรินทร์จริงหรือไม่ และมีพื้นเพอยู่หมู่บ้านอะไร จนกระทั่งทราบแน่ชัดว่าเป็นชาวบ้านทนง ต.สลักได อ.เมืองฯ จ.สุรินทร์ จึงประสานไปยังผู้นำชุมชนบ้านทนงได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า สาวหัวร้อนที่ปรากฏในคลิปวิดีโอเคยอยู่อาศัยที่บ้านทนง คุ้มแสงตะวัน มีญาติเป็นข้าราชการระดับดอกเตอร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 และทราบว่าเคยแต่งงานมาแล้วแต่เลิกรากันไป ก่อนไปทำงานที่กรุงเทพฯ และแต่งงานอยู่กินกับครอบครัวใหม่ในปัจจุบัน
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บ้านทนง ต.สลักได อ.เมืองฯ สุรินทร์ ได้พบกับน้าชายของสาวหัวร้อนที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ กำลังทำสวนและเผาขยะเศษวัสดุสิ่งของต่างๆ จากบ้านพักหลังที่สาวหัวร้อนในคลิปวิดีโอ เคยพักอาศัยอยู่กับแม่ เพราะบ้านหลังดังกล่าวถูกทิ้งร้างไว้นานจนเก่าทรุดโทรมถูกปลวกกัดแทะ จึงรื้อทิ้งทั้งหลังเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เป็นที่สังเกตว่าบ้านเรือนของครอบครัวนี้ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านแยกเป็นเอกเทศจากเพื่อนบ้านคนอื่นๆ
“ดร.อิ” น้าชายของสาวหัวร้อน บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตนขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อที่แท้จริง ปัจจุบันทำงานตำแหน่งระดับหัวหน้าฝ่าย อยู่ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 สุรินทร์ เป็นน้องชายของแม่หญิงสาวที่ปรากฏในคลิปวิดีโอที่มีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปราสาท จ.สุรินทร์, สภ.มาบตาพุด จ.ระยอง และอีกหลายแห่ง
โดยครอบครัวของตนกับหลานสาวไม่ค่อยได้เจอกันมากนัก ล่าสุดเจอกันเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ขณะที่แม่เขาซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของตนมาพักอยู่บ้านหลังที่ตนสร้างให้พี่สาวเพื่อมาดูแลแม่ เพราะแม่ของตนกับพี่สาวป่วยไม่สบายจึงให้พี่สาวมาช่วยดูแลแม่ และหลานสาวคนในคลิปก็ได้ตามมาอยู่อาศัยด้วยเป็นครั้งคราว พอแม่ตนเสียชีวิตไปได้ไม่นาน พี่สาวซึ่งเป็นแม่ของหลานสาวก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง ราว 4-5 ปีที่แล้ว
หลังจากนั้นหลานสาวก็เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพฯ เวลากลับมาเยี่ยมบ้านที่ จ.สุรินทร์ จะไปพักกับพ่อของเขาที่ อ.ปราสาท ซึ่งพ่อทำงานรับราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในตำแหน่งระดับศึกษานิเทศก์ในเขตกรุงเทพฯ เมื่อพ่อเกษียณอายุราชการได้กลับมาอยู่บ้านที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ หลานสาวก็จะกลับมาหาพ่อที่ อ.ปราสาท ส่วนตนในฐานะน้าจึงไม่ค่อยได้เจอหลานสาวมากเท่าไหร่นัก
น้าชายสาวหัวร้อนเล่าต่อว่า ตอนเด็กๆ เห็นหลานสาวเป็นเด็กดี พูดจาไพเราะ มีสัมมาคารวะ เพราะพ่อเป็นข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ มีแม่เป็นแม่บ้านคอยเลี้ยงดูแลลูกทั้ง 2 คนเป็นอย่างดี โดยลูกคนโตเป็นผู้ชาย และเขาเป็นลูกสาวคนเล็ก อีกทั้งครอบครัวของตนกับครอบครัวแม่ของหลานสาวนั้นเป็นครอบครัวที่ให้ความสำคัญในด้านการศึกษาเป็นอย่างมาก และส่วนใหญ่ทำงานรับราชการในแวดวงการศึกษา
กรณีเหตุการณ์ในคลิปวิดีโอโด่งดังในโลกโซเชียลมีเดียและเป็นข่าวในสื่อมวลชนอยู่ในขณะนี้นั้น ตนได้รับทราบจากเพื่อนบ้านมาบอกว่าได้ดูคลิปของหลานสาวหรือยัง และมีเพื่อนบ้านหลายคนสอบถามมา ตนก็ยังไม่ได้ดู อย่างไรก็ตาม ตนอยากขอร้องให้นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เข้าไปตรวจสอบสภาพจิตหลานสาวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเหตุการณ์เกิดจากอะไร มีความกดดันอะไรหรือไม่ เพราะตัวตนแท้จริงแล้ว หลานสาวตนเป็นคนสุภาพเรียบร้อย สิ่งที่ทำให้พฤติการณ์แปรเปลี่ยนไปนั้นเกิดขึ้นจากอะไร เป็นเพราะครอบครัว หรือถูกกดดันจากสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขา
“ฉะนั้นต่อจากนี้ไปจึงอยากให้นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ เข้าไปตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้การช่วยเหลือต่อไป” ดร.อิ น้าชายของสาวหัวร้อนกล่าวในตอนท้าย