xs
xsm
sm
md
lg

หลานเผยน้าสาวเหยื่อเก๋งยาริสชนแล้วหนียังอาการหนักผ่าเปิดกะโหลก แพทย์ดูอาการใกล้ชิด-ไร้เงาคู่กรณีเยี่ยม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - หลานเผยอาการน้าสาววัย 54 ปี เหยื่อรถเก๋งยาริสสีขาวชนแล้วหนีกลางแยกตลาดสามแยกสันทราย เชียงใหม่ ยังอาการหนักต้องผ่าเปิดกะโหลกและนอนห้องไอซียูตลอด ระบุทราบว่าคู่กรณีเข้าพบพนักงานสอบสวนแสดงตัวยอมรับสารภาพเป็นคนก่อเหตุแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการติดต่อหรือเข้าเยี่ยมอาการของผู้บาดเจ็บเลย ยอมรับครอบครัวรู้สึกโกรธ แต่ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย เตรียมพบกันพรุ่งนี้ (15 พ.ค. 61) ที่โรงพัก


ความคืบหน้ากรณีที่คนขับรถเก๋งยาริสสีขาวขับชนรถจักรยานยนต์ที่จอดติดไฟแดงบริเวณสามแยกสันทราย บริเวณหน้าตลาดสามแยกสันทราย ถนนเชียงใหม่-ดอยสะเก็ด อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ อย่างแรงแล้วขับหลบหนีไปเมื่อเวลาประมาณ 23.20 น. วันที่ 9 พ.ค. 61 เป็นเหตุให้คนขี่รถจักรยานยนต์ที่เป็นผู้หญิงอายุ 54 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสอาการเข้าขั้นวิกฤตต้องผ่าตัดกะโหลกศีรษะ โดยทางครอบครัวได้นำคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้พร้อมเรื่องราวโพสต์ในโซเชียลมีเดียเพื่อให้ช่วยติดตามหาตัวคนขับรถยนต์ที่ก่อเหตุ กระทั่งต่อมาวันที่ 12 พ.ค. 61 มีหญิงสาวอายุประมาณ 30 ปี นำรถยนต์เก๋ง โตโยต้า ยาริส สีขาว หมายเลขทะเบียน กห 740 เชียงใหม่ เข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสันทราย พร้อมยอมรับว่าเป็นคนขับรถเก๋งชนรถจักรยานยนต์ก่อนที่จะหลบหนีไป อ้างว่าตกใจ

วันนี้ (14 พ.ค. 61) นางสาวภูสุชา หวงสุวรรณากร อายุ 31 ปี หลานสาวของนางสุชาดา คำมาลัย อายุ 54 ปี คนขี่รถจักรยานยนต์ที่ถูกชนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นผู้นำคลิปวิดีโอและเรื่องราวไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อขอความช่วยเหลือติดตามหาตัวคนขับรถยนต์ที่หลบหนีไป เปิดเผยว่า ล่าสุดอาการบาดเจ็บของน้าสาวดีขึ้นเล็กน้อย ขยับตัวได้เล็กน้อยแต่ยังไม่รู้สึกตัว โดยกะโหลกศีรษะที่ผ่าตัดยังคงต้องเปิดไว้ และนอนรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูตลอดเวลา รวมทั้งแพทย์ต้องเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนคนขับรถยนต์ที่ก่อเหตุนั้น เบื้องต้นทราบจากข่าวว่าได้เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้ว อย่างไรก็ตามยังไม่ได้ติดต่อหรือเดินทางมาเยี่ยมอาการของน้าสาวที่บาดเจ็บแต่อย่างใด

ขณะที่วันพรุ่งนี้ (15 พ.ค. 61) ทางพนักงานสอบสวนได้นัดคู่กรณีไปพบกันที่สถานีตำรวจภูธรสันทราย ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับคนขับรถยนต์ที่ก่อเหตุ ทั้งนี้ยอมรับว่าทางครอบครัวรู้สึกโกรธเป็นธรรมดาที่เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น แต่เข้าใจว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ โดยจากนี้การดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย พร้อมทั้งขอบคุณชาวโซเชียลมีเดียที่ช่วยกันให้ข้อมูลและแจ้งเบาะแสจนทำให้ทราบตัวคนที่ก่อเหตุในเวลาอันรวดเร็ว รวมทั้งช่วยทำให้คนก่อเหตุออกมาแสดงตัว



กำลังโหลดความคิดเห็น