นครปฐม - หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม มอบอำนาจทนายความ ยื่นฟ้อง ฟ้องเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ พร้อมผู้บริหาร ฐานหมิ่นประมาท เตรียมเรียกทางแพ่งอีก 5 ล้านบาท อ้างเสนอข่าวทำให้เกิดความเสียหายและไม่เป็นความจริง ชี้ไปทางเป็นพระใช้อิทธิพล กระทบพระผู้ใหญ่และพุทธศาสนา ยันทำแต่ความดี มอบปัจจัยหลายร้อยล้านให้สังคม
วันนี้( 11 เม.ย.) ที่ศาลอาญา รัชดา กรุงเทพ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ พระคมน์กฤตย์ กิตติจิตโต (สุนทรสุวรรณ) หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ในฐานะโจทก์ ได้มอบอำนาจให้นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความ ยื่นฟ้อง คดีหมายเลขดำเลขที่ อ.1156/2561 ลงวันที่ 11 เมษายน 61 โดยกล่าวหาบริษัท ผู้จัดการ 360 จำเลยที่ 1 นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จำเลยที่ 2 นายสุวิชชา เพียราษฎร์ บรรณาธิการบริหาร จำเลยที่ 3 นายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ จำเลยที่ 4 ในข้อหา หมิ่นประมาท, หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความ กล่าวว่า ในการเข้ายื่นฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ครั้งนี้สืบเนื่องจาก เว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ ในพื้นที่ Special Scoop เมื่อวันที่ 8 เมษายน 61 ได้มีการนำภาพและข้อความตีพิมพ์ข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาทและเผยแพร่ ข้อมูลเกี่ยวกับ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม และพระชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน ในหัวข้อเรื่อง ไขปริศนาพระผู้ใหญ่เพิกเฉย ปล่อย “พระน้ำฝน” ลอยนวล!
นายศุภภัทร์พจน์ ทนายความ กล่าวอีกว่า ในเว็บไซต์ ผู้จัดการออนไลน์ ในหัวข้อดังกล่าว ได้มีการนำเสนอเรื่องราวของการผลิตของมงคล ออกมาโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากคำสั่งของพระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมีการเชื่อมโยงมาถึงการจัดงานพระราชทานเพลิงศพของมารดาของหลวงพี่น้ำฝน เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 61 ที่ผ่านมา โดยมีพระระดับชั้นสมเด็จ พระราชาคณะหลายท่านมาร่วมพิธีภายในงาน และยังได้เชื่อมโยงว่าพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน นั้นการใช้บารมีต่าง ๆ นานา จึงสามารถเชิญพระผู้ใหญ่มาร่วมงานได้
พร้อมกันนี้ยังเขียนปิดท้ายทำนองว่า ด้วยเหตุความมีบารมีของหลวงพี่น้ำฝน การออกของมงคลจึงไม่ได้รับการท้วงติงใดๆ จากพระผู้บังคับบัญชา ซึ่งไม่เป็นความจริง อีกทั้งยังทำให้เกิดความเข้าใจผิด เสียหายต่อชื่อเสียงของพระชั้นระดับสมเด็จ พระราชาคณะและพระผู้ใหญ่หลายท่าน จึงต้องมีการฟ้องร้องเพื่อให้เกิดความกระจ่างกับสังคม
นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวปิดท้ายว่า สำหรับคดีนี้ศาลอาญาได้รับคำร้องไว้แล้ว และจะมีการเรียกไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 4 มิถุนายน 61 เวลา 09.00 น.โดยจะมีการเดินหน้าฟ้องร้องในคดีแพ่ง โดยเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ประจำวันที่ 7 - 15 กันยายน 2556 ได้เคยนำภาพและข้อมูลของหลวงพี่น้ำฝน ไปเผยแพร่ในทางเสียหายไม่มีข้อมูลที่เป็นความจริงมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่หลวงพี่น้ำฝน ก็ได้เมตตาไม่ได้มีการติดใจเอาความ แต่ถึงครั้งนี้มีการพาดพิงพระผู้ใหญ่หลายท่านทำให้กระทบถึงพระพุทธศาสนา ทีมทนายความเห็นว่าควรจะดำเนินคดีจึงได้รับมอบอำนาจมาดำเนินการ ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการเพื่อจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เป็นเงิน 5 ล้านบาท อีกด้วย
วันเดียวกัน หลวงพี่น้ำฝน เผยว่า สำหรับกรณีของข่าวที่ออกไปในลักษณะดังกล่าว ถือว่าทำให้เกิดความเสียหายกับตนเองและพระผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ซึ่งเรื่องที่มีการเขียนลงไปนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งเรื่องประเด็นของการจัดทำของมงคลต่าง ๆ นานา ก็ได้มีสื่อมาติดตามจนชัดเจนไปแล้วว่าเป็นการทำสาธารณะสงเคราะห์ นำปัจจัยที่ได้ไม่หักค่าใช้จ่ายในการซื้อเตียงและอุปกรณ์ ให้โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม ซึ่งได้ส่งมอบไปแล้ว แต่วันที่ส่งมอบกลับมีสื่อมาน้อยมาก ไม่ได้ให้ความสนใจกับปลายทางที่ได้ส่งถึงสังคมจนเกิดประโยชน์ ถึงผู้ป่วยไปแล้ว
หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า ถ้าตำหนิอาตมา โดยไม่ไปพาดพิงใคร ก็จะใช้หลักธรรมมาใช้คือไม่ต่อความกับสิ่งที่คนอื่นมาให้ร้ายป้ายสี ซึ่ง ผู้จัดการสุดสัปดาห์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2556 ได้นำภาพอาตมาไปตีพิมพ์และได้เขียนพาดหัว ว่า “หลวงเพ่ น้ำฝน ขาใหญ่นครชัยศรี” โดยได้โจมตีว่าเป็นเด็กนักการเมืองก่อนมาบวช และบารมี มีอิทธิพลต่าง ๆ นานา เข้าทำนองเป็นซุ้มมือปืนนครชัยศรี ซึ่งขณะนั้นก็ถือว่ารุนแรงมาก และไม่เป็นความจริง แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้เพราะถือว่าได้บวชเป็นพระอยู่ในทางธรรม ใช้หลัก คิด วิเคราะห์ แยกแยะ อย่างมีเหตุผล จึงได้ปล่อยผ่านด้วยการให้อภัยและปล่อยวาง เข้าใจในหลักธรรมว่าแม้พระพุทธองค์ก็ไม่สามารถหลบหนีจากการถูกนินทาว่าร้ายไปได้
แต่มาครั้งนี้ น่าเสียใจ เพราะเอาเรื่องไม่จริงมาพูดอีกครั้ง และยังได้โยงไปถึงวันพระราชทานเพลิงโยมมารดาของอาตมา ว่ามีอำนาจบารมีถึงได้เชิญพระระดับผู้ใหญ่มาในพิธีการได้หลายท่านและระบุชื่ออย่างชัดเจน ซึ่งตรงนี้น่าเสียใจ ตรงที่ทีมผู้เขียนนั้นเอาเรื่องความกตัญญูต่อมารดามาเชื่อมโยงความคิดของผู้เขียนเพื่อให้เกิดเป็นประเด็นให้ประชาชนที่ไม่ได้มาสัมผัสวัดไผ่ล้อมและอาตมาเข้าใจผิด เพราะพระชั้นผู้ใหญ่ระดับสูงที่มีเมตตามาร่วมในพิธีนั้นมาเพราะเห็นว่า อาตมานั้นมีความรักและกตัญญูต่อมารดา ตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิต และได้สอนลูกศิษย์ลูกหาในเรื่องความกตัญญูเป็นหลัก ท่านจึงมีเมตตามาร่วมพิธี เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูเป็นครั้งสุดท้าย รวมถึงข้าราชการขั้นผู้ใหญ่อีก 2 ท่านก็ถูกนำชื่อมาเขียนระบุเข้าไปด้วย และถูกนำไปเชื่อมโยงถึงการปล่อยปะละเลยในเรื่องการจัดทำวัตถุมงคล โดยไม่ฟังคำสั่งของคณะสงฆ์ ทั้ง ๆ ที่มีการชี้แจงไปจบจนสิ้นเป็นที่ชัดเจนไปแล้ว สังคมรับรู้โดยมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาทำการรับมอบอย่างชัดเจนแล้ว
การมอบอำนาจให้ทนายความไปดำเนินคดีครั้งนี้ เป็นเพราะมีการพาดพิงไปถึงพระผู้ใหญ่ที่ต้องมาเสื่อมเสียชื่อเพราะข้อมูลที่ถูกนำเสนอมาแบบผิดๆ และที่สำคัญคือ ไม่เคยเข้ามาสอบถามจากอาตมาหรือคนที่อยู่ในวัดเลยสักคน ภาพก็ไปก๊อปปี้จากโซเชียลมาลงประกอบ ซึ่งอาตมาเคยบอกแล้วไปว่า ใครสงสัยอะไร ให้เข้ามาสอบถามหรือขอข้อมูลที่วัดไผ่ล้อม หรืออาตมาได้โดยตรง และพร้อมจะตอบคำถามทุกเรื่อง และหากอาตมาไม่ได้ทำเพื่อสังคมเป็น พระที่เป็นซุ้มมือปืน จะมีพระผู้ใหญ่ปล่อยให้บวชอยู่ได้หรือไม่ และจะมาให้ความเอ็นดูหรือไม่ สังคมไม่ปล่อยอาตมาไว้แน่
ที่ผ่านมาปัจจัยหลายร้อยล้านบาทที่ส่งไปถึงสังคม ให้ได้รับประโยชน์มากมายแล้ว แต่ก็ไม่มีใครมาถามว่า วัด โรงเรียน โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ เด็กเยาวชน ได้อะไรจากวัดไผ่ล้อมไปบ้าง คนที่ไม่รู้เมื่อไปฟังสื่อมวลชนที่มีอคติมาเขียนและนำเสนอเรื่องที่ไม่จริงก็อาจจะหลงเชื่อได้ ซึ่งทั้งหมดก็จะให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการต่อไปในทางโลก ส่วนอาตมาก็จะขอทำหน้าที่ในฐานะพระสงฆ์ต่อไปและจะทำให้มากขึ้นเพราะทุกวันนี้หมดแล้ว ทั้งหลวงพ่อพูล ทั้งโยมมารดา ที่เหลือของชีวิตก็จะทำงานแบบนี้ช่วยเหลือสังคมต่อไป